วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ถั่วลันเตาผัดกุ้งสด

วันนี้เรามาทำผัดผักกินกันดีกว่าครับ เมื่อสามวันก่อน ไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งขาวตัวเล็กมาครึ่งโล ใส่ตู้เย็นไว้ แล้วดันลืมไปเลย ปล่อยมันนอนแข็งกันโด่เด่ในช่องฟรีซนั่นแหละ (โด่...เด่...?...) มาเมื่อวาน คุณย่าไปจ่ายตลาด หิ้วเอาเห็ดหอมสดมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกิน เพราะกับข้าวอย่างอื่นยังเต็มโต๊ะอยู่เลย เก็บใส่ตู้เย็นไว้ก่อน...ตามระเบียบราชการ พอมาถึงวันนี้ ผมก็ได้ถั่วลันเตามาสองขีด ขีดละ 12 บาทแน่ะ ถั่วมันฝักใหญ่ดี ท่าทางน่ากรอบๆหวานๆ เลยอดใจที่จะซื้อไม่ได้

หะแรกคิดว่าจะผัดกับน้ำมันหอยก็พอ ไม่ต้องใส่เนื้ออะไร กินเล่นเป็นอาหารเสริม แต่เอ๊ะ...เปิดตู้เย็นมาเจอกุ้งขั้วโลกนอนแข็งโป๊กอยู่ในช่องฟรีซ เห็ดหอมยังอยู่ดีในถุงพลาสติกที่มัดจนบวมเป่ง กินพื้นที่ตู้ชมัด...แครอทเกือบเหี่ยวอีกหัวเล็กๆ กับมะเขือเทศล้านปีสองสามลูก ไอ้ที่จะผัดน้ำมันหอยในความคิดครั้งแรก ก็มีอันต้องเปลี่ยนมาเป็นผัดผักรวมซะงั้น ก็แหม...ถ้าไม่ผัดวันนี้ มีหวัง ตู้เย็นกลายเป็นตู้เก็บขยะไปเลยน่ะแสะ...

ถั่วลันเตาเห็ดหอมผัดกุ้งสด


เครื่องปรุง


  • กุ้งขาวไซต์เล็ก 2 ขีด หรือจะใส่มากกว่านี้ก็ได้ ตามสะดวกครับ นำมาล้างแล้วเด็ดหัว แกะเปลือก ไว้หาง ผ่าหลัง ดึงเส้นกลางหลังออกให้เรียบร้อย

  • ถั่วลันเตา 2 ขีด ถั่วฝักใหญ่ๆ จะหอมหวาน และกรอบกว่าพวกฝักเล็กครับ แต่ก็แล้วแต่ความชอบ เอามาแช่น้ำเกลือสัก 10 นาที แล้วล้างผ่านน้ำอีกที เด็ดก้าน เลาะเส้นขอบเปลือกออก แค่นั้นก็พอครับ

  • เห็ดหอมสด 1 ขีด เห็ดหอมสดที่คุณย่าพามาเนี่ยะ มันช่างดูกระจุ๋มกระจิ๋มดีแท้ ดอกเล็ดกระจึ๋งนึงจริงๆ (บ่นทำไม...) เอามาล้างทำความสะอาด ดอกที่ใหญ่ๆก็ผ่าครึ่งซะ ส่วนพวกยิบพวกย่อย ก็ผัดมันทั้งอย่างนั้นแหละครับ

  • แครอท 1 หัว ปอกเปลือแล้วใช้มีดสองคมฝานเป็นเส้นๆ ทำไมหรือ...ก็เพราะว่า ถ้าเราฝานเป็นเส้นๆ จะทำให้สุกเร็วครับ และผมว่ามันกินง่่ายกว่า ไม่แข็งเหมือนการหั่นเป็นแท่งหรือเต๋า เวลากินก็มีความรู้สึกคล้ายกินผัดเส้นก๋วยเตี๋วน่ะครับ และยังทำให้ปริมาณผัดในจานดูเยอะขึ้นด้วยนะ

  • มะเขือเทศใหญ่ 1 ผล อันนี้จะหั่นเป็นกลีบ เป็นเต๋าหรือเป็นแผ่นก็เชิญตามลำบากครับ ที่แน่ๆ ส่วนใหญ่เวลาผัด มันก็จะเละไปก่อนแล้ว ไม่อยู่เป็นทรงนานนัก

  • หรอกพริกจินดาแดง 5 เม็ด เด็ดขั้วแล้วหั่นแฉลบ พริกชนิดนี้ ปกติก็จะเผ็ด ตามธรรมชาติของพริกนั่นและ...แต่เราแค่หั่นแฉลบ จึงทำให้ไม่เผ็ดมากเกินไป มีรสเปี้ยวแทรก และอมหวานนิดๆ ใส่ผัดอร่อยครับ

  • กระเทียมไทย 5 กลีบ เป็นคนไทยก็ต้องกินของไทย น้ำปลาไทย กะปิไทย ปลาร้าไทย ถั่วลันเตาไทย แครอทไทย พริกไทย ผัดไทย คันหูแบบไทยๆ จริงไมจ๊ะ...น้องจ๊ะจ๋า (ง่ะ...มีน้องจ๊ะ คันหู โผล่มาได้ไง...ชักจะเพ้อเจ้อ...เกี่ยวไรกะน้องเขาด้วยวะ...) และกระเทียมไทยเนี่ยะ...ทุบก่อนให้พอแหลก (แหลกล่าย...รึป่าว) ทุบมันทั้งเปลือกนั่นแหละครับ

  • ซ๊อสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

  • ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 2 ช้อนโต๊ะ

  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ

  • น้ำตาลทราย 1/3 ช้อนชา

  • น้ำมันพืช 1 ทัพพี

ว่าแล้วก็ว่าตามกันมาเลยครับ...ทั่นผู้ชมสุดที่เลิฟ

วิดีโอเรื่อง "ถั่วลันเตาเห็ดหอมผัดกุ้งสด"



วิธีทำ


  • ตั้งกระทะบนไฟค่อนข้างแรง ใส่น้ำมันพืชลงไป รอให้ร้อนจัด เอากระเทียมลงผัดพอส่งกลิ่นหอม ก็เอาพริกจินดาใส่ตามลงไปผัดสองสามที จากนั้น เอากุ้งลงผัดครับ ผัดพอให้กุ้งเปลี่ยนสี สังเกตุที่หางครับจะเปลี่ยนเป็นสีส้มจัด เนื้อกุ้งก็จะเป็นสีขาวขุ่น อย่าผัดนานครับ เพราะจะทำให้เนื้อกุ้งเหนียว ไม่อร่อย พอกุ้งสุกได้ที่ ตักออกใส่จานไว้ก่อน ทั้งกุ้งทั้งพริกนั่นแหละครับ

  • คราวนี้ก็รอให้กระทะร้อนอีกครั้ง ไม่ต้องใส่น้ำมันแล้ว เพราะมีเหลือจากการผัดกุ้งแล้วไง เอาผักทุกอย่างลงผัดเลยครับ เทใส่ไปทีเดียวทั้งถั่วลันเตา เห็ดหอมและแครอทเลย จากนั้นก็ผัด พลิกไปพลิกมา ใช้เวลานานนิดนึง ผมจะไม่ใส่น้ำครับ เพราะว่าน้ำที่เติมทีหลัง จะทำให้รสชาดความหวานของถั่วลันเตาลดน้อยลง และเวลาที่มันเย็นตัวแล้ว สีจะซีด ไม่น่ากินครับ เราผัดจนเห็นว่าถั่วสุกดีแล้ว คือสีเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มขึ้นกว่าเก่าน่ะครับ

  • แล้วเราก็จะมาปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำมันหอย น้ำปลา และน้ำตาลทราย เสร็จแล้วก็ผัดคลุกเคล้าให้เครื่องปรุงเคลือบตามเนื้อผักให้ทั่ว แล้วเราก็จะเอากุ้งกับพริงที่ผัดไว้ ใส่ตามลงไป ผัดอีกแค่สี่ห้าที่ก็ปิดไฟ แล้วตักเสิร์ฟได้ทันทีครับ

สำเร็จเสร็จและ "ถั่วลันเตาเห็ดหอมแครอทมะเขือเทศผัดกุ้งฯลฯ"....ป้าดดดด ชื่อยาวไปมั้ง มีการเก้ารอเก้าด้วย...แค่ "ถั่วลันเตาผัดกุ้งสด" ก็พอแล้ว อะไรมันจะยัดเข้าไปซะจนผักปลิ้นอย่างนั้น

จากที่คิดว่าจะกินถั่วลันเตาผัดน้ำมันหอย เล่นๆเป็นอาหารเสริม อาหารว่าง แต่พอพี่ถั่ว เขามาเข้าพวกกับน้องกุ้งกุ้ง แค่นั้นแหละ ข้าวเกือบหมดหม้อไปเลยทีเดียว...นะนายจ๋า

...โอย...ปวดหัวตุ๊บๆ...คอเลสเตอรอลขึ้นว๊อย...

Mr.Ken

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มหัศจรรย์ น้ำย่านาง

เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เข้าใครออกใครครับ พอถึงเวลาที่จะต้องป่วย ก็ต้องป่วย (นั่นน่ะสิ) เราทุกคนก็เลยต้องพึ่งโรงหมอเป็นสรณะกันล่ะ เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อสองเดือนก่อน ผมได้รับงานมาจากพี่ชายของเพื่อนซี้ คือก็ทำด้วยกันนั่นแหละครับ แต่เขาก็แบ่งให้เหมาเอาไซต์งานบ้าง ไอ้งานที่ผมรับมา เป็นงานบูรณะซ่อมแซมองค์พระปฐมเจดีย์ครับ ส่วนที่ผมต้องทำคือ การขัดเพดาน...

เพดานที่ว่าเนี้ยะ อยู่สูงมาก ต้องต่อนั่งร้านขึ้นไป ใช้เครื่องขัด แล้วเพดานของที่นี่เป็นไม้แป้นแผ่นใหญ่ๆต่อกันไปเป็นผืน มีการลงรักปิดทองเอาไว้ พอเมื่อถึงเวลาที่มันเสื่อมสลายคลายคุณภาพ ก็ต้องขัดลายเก่าของเดิมออก เพื่อที่จะลงสี ทาพื้น และปิดลายลงทอง ทับลงไปกันใหม่อีกครั้งครับ งานนี้ถึอว่าเป็นงานใหญ่สำหรับผมเลยทีเดียว ก็พระปฐมเจดีย์เนี่ยะ วัดระดับประเทศเชียวเลยนี่นา


การขัดก็คือใช้เครื่องมือขัดไม้ที่เขาเรียกว่า รถถัง ครับ แบบว่า ชูสองมือขึ้นฟ้า แล้วถูไปเรื่อยๆ ไม่หมูเลยนะครับ กับการที่ต้องยืนแหงนหน้า ยกแขนสูงและออกแรงบังคับเครื่องขัด กับเพดานสูงบนนั่งร้านเนี่ยะ ฝุ่นเฝิ่นตลบอบอวล ต้องหาชุดมนุษย์ประหลาดมาใส่กันจนดูไม่เป็นผู้เป็นคนซะ (เออ...แล้วปกติเนี่ยะ เอ็งดูเป็นผู้เป็นคนตรงไหนวะ...) ปิดหน้าปิดตา ปิดปากปิกจมูกจนมิดเชียว หน้างานมีสามสิบกว่าช่อง ช่องหนึ่งก็กว้างยาวประมาณ สี่-ห้าเมตร คิดดูเถอะครับ ทุลักทุเลใดๆในโลกนี้จะมาปาน...

และไอ้งานขัดที่ว่านี่แหละครับ ที่มันก่อปัญหาให้ผม คือว่า...การจะปิดทองบนเพดานนั้น จะต้องใช้ยางไม้เป็นตัวเชื่อม ให้ทองติด และยางไม้ที่ว่านี้ผมเองก็ไม่รู้จริงๆนะว่า เป็นยางรัก หรือยางไม้ชนิดอื่น แต่ที่แน่ๆ สองสามอาทิตย์นับจากเริ่มแบกเครื่องขัด ทำงานคลุกฝุ่นคลุกผงมา ผมก็เริ่มเกิดอาการคันตามตัว เป็นผื่นขึ้น เกากันจนเลือดกระจุย หนังกระจายครับ เกากันเพลินจนแผลติดเชื้อ อักเสบใหญ่โตครับ ก็ซื้อยากินเองทาเองไปเรื่อยเปื่อย ทนจะกระทั่งงานสำเร็จเสร็จล่วงด้วยดี สองวันให้หลัง ตื่นขึ้นมา ไอ้น้องที่ทำงานด้วยกันมันมาเจอหน้า ร้องลั่นปานว่าเจอผีหนุ่ม(ใหญ่)ที่โครตหล่อที่สุดในโลกเลยครับ...เฮ้ยพี่...เป็นอะไรวะ...

ครับ หน้าตา และเนื้อตัวของผมเป็นผื่นเป็นปื้น หน้าบวมอย่างเห็นได้ชัด แสดงอาการของการแพ้อย่างรุนแรงออกมากระทันหัน ที่เป็นอย่างนี้ก็น่าจะมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนักไปหน่อย กินเหล้าเมามันทุกวัน ข้าวปลาไม่แตะ กินแต่กับแกล้มแพงๆ แปะโป้งเอาเหล้าเขามากิน เช้าเป็นเช้า เมาค้างไปทำงาน ก็ไม่ค่อยได้งานน่ะสิ...(ชั่วเกินไปมั้ยเนี่ยะ...สงสัยโดนเขาแช่งรึเปล่าก็ไม่รู้...) อะไรต่างๆพวกนี้ ซึ่งมันสะสมมาเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายทรุดโทรม บวกกับอายุที่เลยเลขสามด้วย ...(แง๊ๆๆๆๆ...ความจริงช่างโหดร้ายยิ่งนัก) ภูมิคุ้มกันตกฮวบฮาบกระทันหัน จนเกิดอาการอย่างว่านี่แหละครับ


Admit ทันทีครับ เข้าโรงหมอซะหลายวัน กลับออกมาพักฟื้นอยู่ที่บ้านเป็นเดือน กินยาทุกวันตามหมอสั่ง ยาบ้ายาบอมากครับทั่น กินกันที ว่าเป็นเป็นกำมือๆ ยาก่อนอาหารน่ะ กินทีนึงก็จะอิ่มอยู่แล้ว ยังต้องมาอัดยาหลังอาหารอีก ส่วนข้าวน่ะ กินได้นิดเดียว เพราะอิ่มยาไปและ...ไม่นานอาการข้างเคียงก็บังเกิด ไตของผมเกิดทำงานผิดปกติอีท่าไหนไม่รู้ครับ แข้งขา เท้าเทิ้วบวมเป่งเลย เจ็บมากเวลาลงน้ำหนักที่ส้นเท้า จนแทบเดินไม่ได้แน่ะ เหตุเพราะกินยาขนานมหาศาลมากเกินไปไงครับ...จะหยุดยาก็ไม่ได้ ยังมีอาการภูมิแพ้อยู่ ทำไงครับทีนี้ จะรอพึ่งโรงหมออย่างเดียว ผมคงต้องตีนบวมตายซะก่อนเป็นแน่แท้

และแล้วก็ต้องพึ่งตัวเองครับ หนังสือไม่ได้มีเก็บไว้ในห้องสมุด อินเตอร์เนตก็ไม่ได้มีไว้ดูเว็บโป๊ โชว์เว็บแคมป์ แชทหาแฟนเท่านั้นนะ ผมหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไต แล้วก็เจอของดีเข้าจริงๆครับ ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะไตพร่องจากการกินยาแผนปัจจุบันเป็นเวลานานๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอาการเท้าบวมอย่างที่ผมเป็นอยู่ คราวนี้ก็ต้องหาวิธีทำให้มันยุบครับ โดยส่วนตัวของผมเอง ผมเชื่อมั่นมาก ในเรื่องของการใช้สมุนไพรรักษาโรค แต่ก็ไม่ได้มีเวลาศึกษาจริงจังอะไร จนกระทั่งที่เท้าบวมเป่ง และเจ็บทรมานจนทนไม่ไหว ผมจึงตัดสินใจกินสมุนไพรที่ชื่อว่า "ย่านาง" ครับ

บริเวณหลังบ้าน มีเถาย่านางขึ้นอยู่อย่างดกดื่น ผมจึงแข็งใจเดินกระแผลกไปเลือกเก็บเอาใบงามๆ ไม่อ่อนไม่แก่มาประมาณ 30 ใบ ล้างให้สะอาด แล้วคั้นเอาน้ำมาดื่มครับ หะแรกที่น้ำย่านางไหลลงคอ มันพะอืดพะอมน่าดูชมเชียวแหละ สาบเขียวด้วย ผมกินแทนน้ำทั้งวันครับ ผลเป็นไงหรือ เช้าวันรุ่งขึ้น จับตีนตัวเองดู เอ๊ะ...มันเล็กลงแฮะ...เออ จริงด้วย มันยุบลง ถึงจะแค่นิดหน่อย ก็สังเกตุเห็นได้ชัดเวลาเดินลงน้ำหนักส้นก็รู้สึกเจ็บน้อยลง ไม่มั่นใจ... เอาอีกครับ ทำน้ำย่านางกินอีก และแล้ว...ตื่นเช้าขึ้นมาในวันที่สาม อาการเจ็บเท้าหายไป อาการบวมก็หายไปด้วย กลับมาเดินได้เป็นปกติ ส่วนยาโรงหมอก็ยังคงกินปกติครับ ผมจึงได้ค้นพบมหัศจรรย์แห่งพืชสมุนไพรด้วยตัวเอง เป็นที่ปลาบปลื้มยิ่งนัก ที่ยอมให้ตัวเองทดลอง และก็อดไม่ได้ที่จะนำเอาประสบการณ์ดีๆนี้ มาแบ่งปันให้กับผู้อื่นครับ มาดื่มน้ำย่านางกันเถอะ



วิดีโอชุด "น้ำย่านาง"

น้ำย่านาง
เครื่องปรุง


  1. ใบย่านาง 50 กรัม ในบางพื้นที่ที่ย่านางขึ้นอยู่ ใบของมันอาจจะใหญ่หรือเล็กไม่เท่ากันครับ บริเวณที่ดินชื้นๆ ใบจะใหญ่ สีเขียวเข้ม สดดี สวยกว่าพวกที่ขึ้นในดินแห้ง ซึ่งใบจะดูกระด้างกว่า หากจะนับเอาเป็นใบ เกรงว่าจะกะไม่ถูกกันเนอะ ใช้ชั่งเป็นกรัมนี่แหละครับ ดีที่สุด

  2. น้ำเปล่า 2 ขวด ผมใช้น้ำที่ส่งเป็นลังตามบ้านน่ะครับ กะง่ายดี ขนาดนี้ ปริมาณความเข้มข้นของสารคอโรฟิลว์ย่านางกำลังดื่มลื่นคอครับ
วิธีทำ


  1. ก็ไม่ยากเย็นอะไรล้างใบย่านางให้สะอาดทีละใบ โดยเฉพาะด้านใต้ใบ ที่มักจะมีขี้มดเกาะอยู่ รวมถึงสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ อย่าคราบรอยเมือกตีนทาก เศษขี้หอยทากอะไรอย่างนี้ด้วย เราจึงต้องล้างแบบผ่านน้ำ ใช้นิ้วถูเบาๆให้ทั่วจนสะอาด แล้วเอามาผึ่งให้แห้งครับ

  2. จากนั้นก็นำมาขยำกับน้ำ ตามวิดีโอเลยครับ ผมถ่ายทำเองที่บ้านเชียวนะ...(คุยซะด้วย...) ขยำไปเรื่อยๆให้ใบช้ำ น้ำเขียวปื๋อ อย่างที่เห็นในวิดีโอครับ ผมใช้ครกช่วยให้ช้ำเร็วๆ มันเมื่อย...ขยำนานๆเนี่ยะ ไม่แนะนำให้ใช้เบรนเดอร์นะครับ เพราะเวลาปั่น จะเกิดความร้อนซึ่งอาจทำให้น้ำมัน และโอสถสารที่อยู่ในใบเปลี่ยนคุณสมบัติไปได้ ใช้ครกนี่แหละ โป๊กๆๆ ไปเลยครับ...พี่น้อง แต่ครกที่จะใช้เนี่ยะ ต้องล้างให้สะอาดนะครับ มีอยู่ครั้งนึง น้ำย่านางของผม ดื่มเข้าไป เฮ้ย...ทำไมเผ็ดวะ...คำตอบก็คือ คุณย่าของผมเอาไปตำน้ำพริกก่อนหน้านี้ แล้วผมมาใช้ต่อ ล้างไม่หมด ผมก็เลยต้องกินน้ำย่านางรสเผ็ดเล็กน้อยนั่นไง...

  3. มาว่ากันต่อ...จะโม้อีกนานมั๊ย...โขลกแหลกพอควรแล้วก็เอามาคั้นต่อ จนกระทั่งสีเขียวออกมามากที่สุด ใบย่านางจะสีซีดลง น้ำคั้นจะเขียวเข้มข้นขึ้น ก็ใช้ได้แล้วครับ เอามากรองกากออก เทใส่ขวด เก็บใส่ตู้เย็น กินก่อนอาหารประมาณ 15 นาที ครั้งละหนึ่งแก้วตู้มๆไปเลยครับ ผมเคยลองเอาน้ำตาลทรายแดงมาทำน้ำเชื่อม หยอดลงไปด้วย รสชาดกลมกล่อมดี แต่ทำไมรู้สึกว่าได้รสเค็มๆนะ...รสมือรึเปล่า (ขี้มือ...)
เรียบร้อยแล้วครับ น้ำใบย่านาง น้ำคลอโรฟิวล์ทำเอง 100%
ใครที่ห่วงว่า กินน้ำคั้นจากใบมันดิบๆเลยเหรอ ไม่มีพิษหรือไร ต้องขอบอกว่า แต่ก่อนผมก็เคยคิดแบบนี้ครับ คราแรกที่เริ่มทำกิน ดันเอาไปต้มซะก่อน ทว่า...ในใบย่านางนั้น มีน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ครับ เมื่อถูกความร้อนเข้า ก็รวมตัวกันเป็นก้อนเล็กๆกลมๆ ลอยเป็นแพอยู่บนผิวหน้า ยังกะไข่กบแน่ะ ส่วนน้ำที่ใช้ต้ม ก็กลายสภาพเป็นสีดำปี๋น่าเกลียดจะตาย...แล้วมันดูไม่น่าจะกินได้กว่าตอนไม่ต้มอีกหลายเท่าเลยครับ ผมเลยเลือกดื่มแบบไม่ต้ม ผลออกมาก็คืออย่างที่คุยให้ฟังนั่นแหละครับ...เยี่ยมจริงๆ

ย่านางมีสรรพคุณทางยาคือ ลดไข้ได้ทุกชนิด ช่วงที่ผมเริ่มดื่ม ก็มีอาการไข้ต่ำๆที่เกิดจากการอักเสบของแผลภูมิแพ้ด้วย น้ำย่านางช่วยบรรเทาได้เป็นอย่างดีครับ ดื่มก่อนนอนหนึ่งแก้วใหญ่ ตื่นเช้าขึ้นมา ไข้ลดลงเรียบร้อยแล้วครับ เนื่องจากว่า ย่านางเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น จึงช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ดีครับ

เอาล่ะครับ โม้มามากมายหลายกระบุง...หอมปากหอมคอมานาน จนจะเหม็นปากเหม็นคอกันแล้ว เอาไว้มีประสบการณ์ใหม่ๆเกี่ยวกับน้ำย่านางอีก ผมก็จะมาอัพเดทให้ได้อ่านกันอีกนะครับ

ขอให้มีสุขภาพดีกันทุกคนนะครับ

Mr.Ken

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บริโภคศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องลาบ ภาค 1

ลาบ มรดกวัฒนธรรมด้านอาหาร
เสียงมีดที่กระทบหน้าเขียงเป็นเสียงรัว เร็วและดูเร่งเร้า เป็นจังหวะจะโคนที่ฟังดูแล้ว น่าสนุกสนาน ดังมาจากทางในครัว ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะนอกจากเสียงรัวมีดแล้ว ก็ยังมีเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย หยอกเย้ากันของคนในครัว ดังมาเป็นระยะ กลิ่นฉุนจัดจนชวนจาม ของพริกแห้งที่ถูกคั่วไฟ ถูกลมพัดพาเข้ามไปในส่วนอื่นของบ้าน ตามด้วยเสียงจามสนั่นหวั่นไหว และเสียงสบถอย่างหยอกเอินดังขรม บ้านหลังนี้กำลังมีงานบุญครับ เป็นงานขึ้นบ้านใหม่ ผู้คนจากบ้านใกล้เรื่อนเคียง เริ่มทยอยกันมาช่วยงาน และเสียงรัวมีดที่ดังออกมาจากครัวนั้น ก็เป็นด้วยมีมือของพ่อครัวแบบกึ่งทางการประจำงานนั่นเอง

ในเต้นผ้าใบหลังใหญ่ที่ต่อออกจากประตูครัว เพื่อรองรับบรรดาพ่อครัวแม่ครัวมากมายหน้าตา ที่พาหัวใจมาช่วยงานบุญของเพื่อนบ้าน ลุงหนานถากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขียง มือจับด้ามมีดพร้าสองเล่มไว้ข้างละมือ และกำลังสับมีดทั้งสองขึ้นลง สลับกันอย่างเร็วไปที่ก้อนเนื้อบนเขียงอย่างคล่องแคล่ว มีจังหวะที่หยุด เพื่อตักเอาก้อนลิ่มเลือดดิบๆสดๆ ราดลงบนเนื้อที่สับ แล้วเสียงสับเนื้อก็ดังต่อไป เคล้าด้วยเสียงหยอกเย้าเฮฮาระหว่างพ่อครัวเฒ่า กับแม่บัวคำสาวใหญ่ แม่ครัวอีกคนที่กำลังทำหน้าที่คั่วเครื่องหอมอยู่ที่หน้าเตาฟืน โดยมีเสียงโห่ฮาป่าจากคนอื่นๆรอบข้าง ดังเป็นระยะ โดยมีลุงคำ เพื่อนซี้ของลุงหนานถา คอยส่งแก้วแป๊กใบเล็ก ใส่เหล้า 35 ดีกรี ให้พ่อครัวเป็นพักๆ บางคนกำลังหั่นเครื่องในวัวที่ลวกสุกเป็นชิ้นเล็กๆ และมีอีกส่วนที่หั่นกันทั้งดิบๆ อย่างผ้าขี้ริ้วดำ ตัดออกมาขนาดพอคำ จิ้มกับน้ำดีวัวผสมเกลือนิดหน่อย กลายเป็นกับแกล้มในหมู่พ่อครัวไปด้วย

ฝ่ายป้าผัน แม่ครัวไม่น้อยหน้าครับ มือจับสาก ตั้งหน้าตั้งตาตำพริก ตำเครื่องเทศคั่วแล้ว ซึ่งแม่บัวคำเอาใส่อ่างมาวางไว้ให้ เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นที่ขมับ แกใช้แขนเสื้อปาดมันออก ก่อนส่งเสียงหัวเราะขบขันกับมุขตลกของลุงหนานถา ที่ปล่อยออกมาหยอกแม่บัวคำอย่างสนุกสนาน

เครื่องเทศที่แม่บัวคำคั่วจนเสร็จครบทุกอย่าง แล้วยกมาให้ป้าผัน มือครกประจำงานนี้ตำก็ได้แก่ พริกขี้หนูแห้ง เม็ดผักชี มะแขว่น เทียนข้าวเปลือก มะแหลบ ดีปลี พริกไทยดำ กานพลู โป๊ยกั๊ก เปราะหอม ลูกจันทน์เทศ ดอกจันทน์เทศ อบเชย และกระวาน เครื่องหอมทุกอย่าง ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลแข่งกัน และเครื่องปรุงเพิ่มเติม ก็ถูกลำเลียงมาที่หน้าครกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ กะปิ มะเขือขื่น ซึ่งทุกอย่างต้องปิ้ง หรือหมกกับขี้เถ้าร้อนให้สุกจนนิ่มก่อน ถึงจะนำมาตำรวมกับเครื่องเทศได้ แม่บัวคำ ยกเอาครกมาอีกชุด ลงนั่งขัดสามาธิอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อช่วยป้าผัน ที่นั่งตำพริกลาบจนเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่อย่างไม่ย่อท้อ หรือปริปากบ่นเลย งานบุญอย่างนี้ คนเหนือเขาถือนักหนาครับ ในวันงาน ห้ามพูดสิ่งที่ไม่เป็นมงคลเด็ดขาดเลยเชียว

ส่วนลุงหนานถาก็สับเนื้อจนละเอียดยิบ ไม่เห็นเป็นชิ้นเนื้อเลย เนียนจนเหนียวหนึบ ในชามแปลใบโตนั้นมีแต่เนื้อล้วนๆ เพราะพวกเส้นเอ็นและพังพืด ถูกเลาะออกทิ้งไปก่อนหน้านี้แล้ว อย่างพิถีพิถัน เครื่องในทั้งดิบทั้งสุก ถูกหั่นเรียบร้อย และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผักกับลาบ ชนิดต่างๆ ที่ถูกเก็บมาจากต้น ตามรั้วบ้าน หรือในสวนแบบสดๆ ล้างจนสะอาด แล้วใส่กะละมังใบใหญ่ไว้ มียอดมะกอก ผักไผ่(ผักแพรว) หอมด่วน(สะระแหน่) ผักคาวตอง หอมป้อมเป้อ(ผักชีฝรั่ง) ยอดมะปีน(มะตูม) ยอดโกสน ยอดเล็บครุฑ กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักกาดน้อย ผักกาดดำ มะเขือผ่อย(มะเขือเปราะ) มะถั่ว(ถั่วฝักยาว)ดีปลีสด ผักเพี๊ยฟาน ผักแปม หอมด่วนหลวง(หูเสือ) มะเขือเทศอ่อน ผักหนอก(บัวบก) ยอดผักเผ็ด(ผักคราดหัวแหวน) จ๋วงเครือ(ผักชีช้าง) ผักอันอ้อ(ผักชีล้อม) ยอดมะยม ใบจัน(กระเพราควาย) เกี๋ยงพาไย(สันพร้าหอม) และแถมด้วยพริกขี้หนูสวนสดอีกจานใหญ่ พืชผักทุกอย่าง ล้วนมีสีเขียวสดใส บางชนิดก็มีแกมสีแดง ดูน่ากินยิ่งนัก การเตรียมทำลาบเลี้ยงแขกขึ้นบ้านใหม่ ก็เหลือเพียงแต่รอเวลาที่จะ "ยำ" ต่อไป แต่ทว่า วงเหล้ายังคงมีต่อ ลุงหนานถาจึงแบ่งเอาเนื้อสับผสมเลือดสีแดงคล้ำออกมา ก่อนจะขอเครื่องพริกลาบจากป้าผัน แล้วลงมือยำลาบ เรียกน้ำย่อยในวงเหล้า เป็นการลับมือ ก่อนถึงเวลาปรุงจริงๆ

เคยมีเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนจังหวัดน่าน พูดในวงเหล้าว่า "เกิดเป๋นลูกป้อจาย บ่อกิ๋นลาบดิบ เยี๊ยะลาบก่อบ่อจ้าง ก่อบ่อต้องกึ๊ดเอาเมียละ..." (เกิดเป็นลูกผู้ชาย ไม่กินลาบดิบ แถมทำลาบก็ไม่เป็น ก็ไม่ต้องคิดที่จะมีเมียแล้ว)อันนี้ถ้าเราลองเอาคำพูดของมันมาคิดๆดู ก็เห็นทีว่าเข้าทีครับ วัฒนธรรมการกินลาบของล้านนานั้น เป็นสัญลักษณ์ของบุรุษเพศโดยแท้ เท่าที่ผมได้สัมผัสและฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่มา ผู้หญิงก็อาจมีส่วนร่วมในการทำลาบด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่าง หน้าที่ลาบเนื้อหน้าเขียง หน้าที่ปรุงลาบ หน้าที่กำหนดพืชผักที่จะเป็นผักกับลาบ และหน้าที่การควบคุมขั้นตอนในการทำลาบ เรื่องพวกนี้เขาเป็นเรื่องของผู้ชายเท่านั้นครับ


มีเคล็ดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้หญิง คือถ้าจะมอบหมายให้หญิงใด เป็นผู้ไปเก็บผักต่างๆมาเป็นผักกับลาบ ต้องแน่ใจว่าหญิงผู้นั้นไม่ได้กำลังมีประจำเดือนครับ เชื่อกันว่า ถ้าผู้หญิงมีเมนส์ไปเก็บผักกับลาบ จะทำให้วิชาอาคมของชายที่กินเข้าไปเสื่อม และต้นพืชที่ถูกเก็บจะเหี่ยวเฉา และตายไปในที่สุดครับ นี่แค่เรื่องผักนะครับ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเนื้อสัตว์นี่ ห้ามขาดเลย เมนส์ไม่เมนส์ก็ห้ามครับ เป็นหน้าที่ของผู้ชายเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่า อาหารในตระกูลลาบนั้น (ซึ่งก็ได้แก่ ลาบ หลู้ และส้า) มีส่วนประกอบสำคัญคือเนื้อสด เครื่องในสดๆดิบๆ และเลือดสดๆละมังครับ อาจจะเกรงว่าเลือดประจำเดือนของผู้หญิงจะทะเล็ดออกมาปะปน อย่างนั้นกระมัง

ชายใดที่ไม่กล้ากินลาบดิบ ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มสังคมได้ หรือเข้าได้ แต่ความยอมรับนับถือก็จะมีน้อย อาจโดนดูถูก เหยียดหยาม และล้อเลียนเอาได้ ถือเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี สำคัญพอๆกับการสักยันตร์ตามร่างกายเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ลาบ เป็นอาหารที่ต้องใช้ความละเอียด พิถีพิถัน และความอดทนในการทำสูงมาก ไม่ใช่สักแต่ว่าทำๆไปให้เสร็จเป็นอาหาร กินแล้วอิ่มจบ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ สูตรลาบต่างๆมากมายที่ถูกคิดค้นขึ้น ก็ด้วยความพยายามที่จะหาจุดเด่นให้ตัวเอง คือทำอย่างไรให้ลาบอร่อยกว่า และแตกต่างจากคนอื่น มีการใส่ปัญญาลงใปในการทำลาบด้วยตลอดเวลาครับ ไม่เพียงแต่วัดกันที่ฝีมือด้านรสชาดเท่านั้น การทำลาบ ยังรวมถึงการแสดงความสามารถ ในการหาวัตถุดิบที่จะมาทำลาบด้วย โดยเฉพาะ ในส่วนที่เป็นเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นเครื่องปรุงหลัก สมัยก่อนไม่ได้มีเนื้อสัตว์ใหญ่อย่างเนื้อวัว เนื้อควาย วางขายตามตลาดกันเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้นี่ครับ การล้มวัวควาย หรือหมูสักตัว จะต้องมีพิธีการที่สำคัญของชุมชนเกิดขึ้นเท่านั้นครับ ชาวบ้านทั่วไปเขาจะไม่ค่อยมีโอกาศกินเนื้อสัตว์ใหญ่พวกนี้หรอก นอกเสียจากว่า ไปล่ามาเองได้จากป่า

บ้านไหนที่กินลาบบ่อยๆ อาจแสดงถึงฐานะที่มั่งคั่งร่ำรวย มีวัวควาย ไก่ปลาเลี้ยงไว้กิน ก็จะได้รับการนับหน้าถือตา หรือผู้ชายในบ้านนั้น มีความสามารถในด้านการล่าสัตว์อย่างมือฉมัง ล่าสัตว์ใหญ่มาทำลาบได้บ่อยๆ ก็จะได้รับการยกย่องจากสังคมเช่นกัน การล่าสัตว์นี้ ไม่ได้หมายถึงล่าแค่พวกวัวป่าควายเถื่อนเท่านั้นนะครับ ยังรวมไปถึงสัตว์เล็กพวกกวาง เก้ง กระจง กระต่าย ไก่ป่า นกต่างๆ และสัตว์น้ำจำพวกปลาอีกด้วย สัตว์เหล่านี้ สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการปรุงลาบได้ทั้งนั้นครับ ซึ่งความสามารถในการล่าสัตว์นี้ เป็นเครื่องการันตีให้แก่ชายผู้นั้นครับ ว่าจะไม่ทำให้ลูกเมียต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ มีน้ำอดน้ำทนทำมาหากิน นับว่าเป็นกุศโลบายที่แยบคายของคนโบราณ ที่แอบสั่งสอนผู้ชายทั้งหลาย ในเรื่องของการเป็นผู้นำครอบครัวที่เข้มแข็ง ให้เป็นผู้ที่หาเลี้ยงครอบครัวได้ไงครับ

ลาบ อาจถือเป็นวิชาสำคัญ ที่ชายชาตรีชาวล้านนาต้องเรียนรู้ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารชนิดหนึ่งเท่านั้นครับ แต่ได้รวบรวมเอาองค์ความรู้หลายๆอย่าง ทั้งศาสตร์และศิลป์ เข้ามาประกอบกัน จนกลายเป็นลาบ ดังนั้น ชายใดที่รู้วิชาลาบศาสตร์ ย่อมมีคุณสมบัติคู่ควรแก่การเป็นผู้นำครอบครัว และมีคุณค่ามากพอที่จะเป็นที่ยอมรับนับถือ ในสังคมวิถีล้านนาครับ


ผมลองจำแนกคุณสามบัติของคนที่ทำลาบเป็น ออกมาได้คร่าวๆดังนี้ครับ
1. ชายผู้นั้นต้องมีความสามารถในการหาวัตถุดิบ คือการล่าสัตว์ ต้องมีความสารถในการใช้อาวุธอย่างปืน ธนู หน้าไม้ หรือมีความรู้เกี่ยวกันการสร้างกับดักต่างๆอย่างเครื่องมือจับปลา กับดักสัตว์ชนิดต่างๆได้ และยังต้องรู้ให้ซึ้ง แม้กระทั่งเรื่องธรรมชาติ อุปนิสัย ที่อยู่อาศัย อาหารของสัตว์แต่ละชนิด ก็จำเป็นต้องรู้ให้มากที่สุด ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะจับสัตว์มาทำลาบได้ ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
2. ชายผู้นั้นต้องมีความรู้ในเรื่องของสมุนไพรวิทยาเป็นอย่างดี เนื่องจากลาบ เป็นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ และนิยมกินแบบดิบๆ จึงอาจทำให้เกิดโรคภัยต่างๆทั้งหลายตามมาได้ นอกจากจะต้องมีเครื่องเทศมากมายแล้ว ลาบของล้านนา ยังจำเป็นต้องมี "ผักกับลาบ" เคียงคู่มาด้วยกันเสมอ คนที่ทำลาบเป็น จะต้องรู้ว่าพืชชนิดไหนที่กินแล้ว ป้องกันโรคได้ ชนิดไหนกินแล้วแก้ไขโรคได้ รวมไปถึงคุณสมบัติต่างๆของพืชแต่ละชนิดด้วย
3. ชายผู้นั้นต้องมีความมุ่งมั่น และอดทนเป็นอย่างสูง นับจากเริ่มต้นหาวัตถุดิบด้วยการล่าสัตว์ จนกระทั่งจบลงที่ลาบสำเร็จพร้อมกิน จำต้องใช้ความเพียรพยายาม ในการค้นหา และใช้เวลาเป็นอย่างมากครับ ใครจะรู้ว่าเก้งกวางมันจะวิ่งมาเข้าทางปืนเมื่อไหร่ ใครเล่าจะรู้ว่าในแม่น้ำตรงนี้ จะมีปลาช่อนตัวโตๆหลบอยูหรือไม่ นี่ดูจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในเรื่องของจิตใจโดยแท้
4. ชายผู้นั้นต้องมีความละเอียด ถี่ถ้วน ประณีต แสดงถึงความใจเย็น เยือกเย็น สุขุม ลุ่มลึก แค่เฉพาะกรรมวิธีแล่เนื้อสัตว์ก่อนจะลาบ ก็ใช้เวลานานมากครับ แล่ยังไงให้ได้แต่เนื้อล้วนๆ ไม่เหม็นคาว ไม่ขม ไม่เหม็นสาบ แค่นี้ก็ตาเขแล้วครับ ให้คนใจร้อนทำ มีหวังได้กินลาบติดฟันอิรุงตุงนัง แคะกันไม่ไหว หรือไม่ก็ทำแล้วกินไม่ได้ เพราะเหม็นสาบสัตว์เกินทนจนต้องโยนทิ้ง อะไรประมาณนั้น สัตว์แต่ละชนิด ก็มีวิธีการแล่เอาเนื้อที่ไม่เหมือนกัน และวิธียำ ทำให้อร่อยก็แตกต่างกันด้วย อย่างเนื้อวัว ต้องรู้ว่าแล่อย่างไร ที่จะไม่ให้มีเส้นพังผืดติดมา หรือทำอย่างไรจึงจะได้เนื้อปลาที่ปราศจากก้าง และดีปลาไม่แตกใส่เนื้อจนขมปี๋ เป็นต้น ลาบกันทีนึง ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงครับ นี่หมายถึงยุคปัจจุบัน ที่หาซื้อเนื้อได้ง่ายๆแล้วนะ

คุณสมบัติสี่ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงคร่าวๆเท่านั้นนะครับครับ แต่ละข้อ ยังมีส่วนประกอบปลีกย่อย แตกแขนงความรู้ไปอีกมากมายหลายสาขา ถ้าหากวิเคราะห์กันดูให้ดี เราจะพบว่า เรียนทำลาบเพียงอย่างเดียว ก็แทบจะครอบจักรวาลแล้วครับ และคงต้องใช้เวลาในการวิเคราะห็กันนานจนไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นกันเลยทีเดียว...

ในดินแดนล้านนาโบราณ หากชายใดที่ทำลาบไม่เป็น ก็ดูจะกลายเป็นปมด้อยไปได้ด้วยนะครับ ประมาณว่า มีความเป็นผู้ชายไม่มากพอ ไม่มีความสามารถมากพอจะดูแลหญิงที่จะมาเป็นเมียได้ ประมาณนั้น บางครั้งบางที ก็มีการแข่งขันกันเกิดขึ้นในกลุ่มป้อเฮือน (พ่อบ้าน) โดยใช้ฝีมือการปรุงลาบ ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากพ่อสู่ลูกชาย บ้านใครทำลาบได้ลำกว่ากัน อย่างนี้ก็เคยมีครับ

คราวนี้เรามาดูกันครับว่า ลาบนั้น ทำกันอย่างไร มีสัตว์อะไรบ้างที่นำมาทำลาบได้ ก่อนอื่น เรามาทำ "พริกดำ" ของสำคัญในการปรุงลาบให้อร่อยครับ

พริกดำ
เครื่องปรุง
เทียนข้าวเปลือก
เปราะหอม
เม็ดผักชีโป๊ยกั๊ก
กระวานกานพลู
ดอกจันทน์เทศ
ดีปลีแห้ง
พริกไทยดำแห้ง
พริกขี้หนูแห้ง
มะแขว่น
มะแหลบ
ลูกจันทน์เทศ
อบเชย
เกลือป่น


วิธีการทำก็คือ นำเอาทุกอย่างมาคั่วในกระทะใบโต คั่วทีละอย่างครับ (ยกเว้นเกลือป่นนะครับ) ให้หอมและกรอบเลยทีเดียว ได้ที่แล้วก็ตักขึ้นพักให้เย็นตัวก่อนสักพัก ก่อนจะนำไปตำให้แหลกละเอียด ยิ่งเราคั่วให้กรอบเท่าไหร่ เราก็จะตำให้ละเอียดเป็นผงได้ง่ายเท่านั้นครับ การตำก็ตำทีละอย่าง ละเอียดดีแล้วก็ตักใส่อ่างผสมไว้ จนกระทั่งตำครบหมดทุกอย่างแล้ว ก็ใช้ทัพพีคนพริกดำให้เข้ากันดี สมัยใหม่ อาจใช้วิธีปั่นด้วยแบรนเดอร์ครับ แต่เชื่อเถอะว่า วิธีโบราณอย่างการตำเนี่ยะแหละ ที่ดีที่สุดครับ จริงๆนะตะเอ๊ง...
มาดูเรื่องสำคัญมากๆอีกอย่าง ก่อนจะไปดูวิธีการปรุงลาบครับ "ผักกับลาบ" นั่นเอง สำคัญอย่างไร...ก็อย่างที่คุยให้อ่านกันข้างต้นล่ะครับว่า การทำลาบ กินลาบ เขาจะกินกันแบบดิบๆ เนื้อสดๆเท่านั้น (ไม่เหมือนหนุ่มสมัยนี้ บางคนเห็นลาบดิบ หลู้เลือด ส้าดิบ แล้วร้องกรี๊ดดดดดด...ทานไม่ด๊ายยยย...ไม่ด้ายยยยย) จึงทำให้เสี่ยงต่อโรคภัยที่มากับเนื้อสัตว์ดิบๆ ไม่ว่าจะท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ถ่ายอุจจาระลำบากจนเกิดเป็นริดสีดวงทวาร และโรคพายาธิต่างๆ ดังนั้น จึงต้องมีพืชผักสมุนไพรหลากหลายชนิด มาเป็นผักกับลาบ โดยอาศัยสรรพคุณของพืชในการป้องกัน และแก้ไขโรคดังกล่าวครับผักสมุนไพรนี้ ชุดหนึ่งต้องประกอบด้วยสมุนไพรรสเปรี้ยว รสเผ็ด รสฝาด รสหวาน รสขมและรสมันครับ ที่สำคัญ พืชแต่ละชนิด มีกลิ่นและรสชาดเฉพาะตัว เลียนแบได้ยากครับ...มีอะไรบ้างเป็นอาทิ เรามาดูกัน
ยอดมะกอก ยอดที่แตกออกมาใหม่ๆ สีแดงส้ม เปรี้ยวจี๊สสสส...
ผักไผ่(ผักแพรว) รสชาดเผ็ดปร่า ซ่าลิ้นดีนัก
หอมด่วน(สะระแหน่) อันนี้กินแล้วปากหอมครับ
ผักคาวตอง บางคนกินไม่ได้ บอกว่าเหม็นคาว แต่ผมชอบมากที่สุด รสชาดออกเปรี้ยวน้อยๆหอมป้อมเป้อ(ผักชีฝรั่ง) นี่ก็ให้กลิ่นหอม รสหวานมันครับยอด
ยอดมะปีน(มะตูม) ออกไปทางเปรี้ยวๆฝาดๆน่ะนะ...
ยอดโกสน ถ้ากินดิบจะออกขม เพราะมียางสีขาวอยู่ แต่ถ้าลวกสุกแล้วจะหวาน อร่อยมั๊กๆคร่ะ...
ยอดเล็บครุฑ อันนี้บรรยายไม่ค่อยจะถูก แต่ที่แน่ๆ กลิ่นมันหอมแปลกดีครับ
กะหล่ำปลี ผักพื้นๆ รสหวาน กรอบ...
ผักกาดขาวปลี นี่ก็พื้นๆ...รสหวานเช่นกัน
ผักกาดน้อย อันนี้ก็คือต้นอ่อนของผักกาดกวางตุ้งนั่นเองครับ
ผักกาดดำ ผักกาดชนิดนี้มีรสเผ็ดปร่า ซ่าๆ กลิ่นฉุน ให้ความรู้สึกเหมือนกินวาซาบิที่เจือน้ำเบาบาง...โห...ขนาดนั้น
มะเขือผ่อย(มะเขือเปราะ) และต้องเป็นผลอ่อนๆเท่านั้น กับกร้วม เคี้ยวทั้งคั่ว ทั้งหวานทั้งมันครับ
มะเขือแจ้(มะเขือขื่น) อันนี้ผมไม่นิยมครับ รสชาดมันประหลาดๆ...แต่คนอื่นเขากินกันให้เกร่อครับ ตั้องเป็นลูกแก่จัด สีเหลืองๆ ผ่าแล้วแคะเอาเมล็ดออก กินแต่เปลือก
มะถั่ว(ถั่วฝักยาว) รสหวาน กรอม เคี้ยวมันดี...
มะแต๋ง(แตงกวา) หวานฉ่ำ เย็นชุ่มคอดีนัก
ดีปลีสด รสเผ็ดซ่า...ต่างจากพริกที่เผ็ดร้อน...
ผักเพี๊ยฟาน อันนี้ผักป่าหายากแล้วในสมัยปัจจุบัน รสชาดขมๆมันๆครับ...
ผักแปม อันนี้ก็ออกขมๆน้อยๆ แต่จะกลายเป็นหวานเมื่อลองจิบน้ำตาม...
หอมด่วนหลวง(หูเสือ) กลิ่นหอมฉุน รสออกเปรี้ยว ซ่าๆ ประมาณนั้น
มะเขือเทศอ่อน จะทีรสฝาดอมเปรี้ยว สาบเขียวด้วย อร่อยไปอีกแบบครับ
มะเขือเทศสุก สีแดงสด รสเปรี้วอมหวาน ฝานตามขวางเป็นแว่นๆ ราดน้ำปลาซะหน่อย กินกับลาบ ลำแต๊ลำว่า...
ผักหนอก(บัวบก) รสขมอมหวาน (ยังไงหว่า...) กลิ่นหอมครับ
ยอดผักเผ็ด(ผักคราดหัวแหวน) รสเผ็ดสมชื่อเขาล่ะครับ
จ๋วงเครือ(ผักชีช้าง) อันนี้อธิบายไม่ถูก จำรสชาดไม่ได้...แหะๆ
ผักอันอ้อ(ผักชีล้อม) อันนี้กลิ่นหอมฉุน อร่อยดีครับ
ยอดมะยม ออกฝาดๆมากกว่าจะเปรี้ยวอย่างชื่อของมันนะ...
ใบจัน(กระเพราควาย) รสเผ็ดร้อน กลิ่นฉุนจัด
เกี๋ยงพาไย(สันพร้าหอม) อันนี้ก็กลิ่นหอม รสหวานอมขม (อีกแล้ว)
พริกขี้หนูสวน แน่นอนครับ เผ็ด แน่ๆ เผ็ดอย่างไม่เสียชาติพริกครับ...
ใบอ่อนมะละกอ อันนี้ต้องเอามาเผาไฟให้นิ่มก่อนครับ รสชาดจะขมๆ

เอาแค่นี้ก่อนเถอะครับ คิดไม่ออกแล้ว เพราะว่ามันมีอีกมากมายหลายอย่าง ทั้งที่เป็นผักจากป่า ผักบางอย่างถ้าใครไม่รู้ จะพาลคิดไปว่าเป็นวัชพืชไปซะงั้น...และยังมีผักจากน้ำจากนาอีกนะ เยอะมากๆ บางอย่างก็หากินได้ยากแล้วในปัจจุบันครับ

มีความเชื่อเกี่ยวกับการเก็บผักอีกอย่างครับ ผักพวกหอมด่วน ผักไผ่ และคาวตองเนี่ย เวลาเก็บต้องนั่งเก็บครับ ห้ามโก้งโค้งเก็บเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผักที่กำลังงอกงามนั้น วายวอด โรยราและตายในที่สุดได้ ชาวล้านนาโบราณเขาถือครับว่าเป็นผักเจ้าผักนาย ต้องเก็บด้วยด้วยกิริยานอบน้อมและสำรวม แล้วดูเหมือนจะเป็นจริงอย่างคำว่านะครับ ครั้งหนึ่งผมเคยก้มเก็บหอมด่วนที่เป็นพุ่มสวย ใบใหญ่ๆมากินกับลาบครับ แล้วอีกไม่กี่วันต่อมา หอมด่วนที่ว่างามๆแปลงนั้นนั้น มันกลับเหี่ยวเฉาลงไปอย่างเห็นได้ชัด แบบยกแปลงไปเลยครับ...จะใส่ปุ๋ยพรวนดินอย่างไร มันก็ไม่ยอมงอกงามเหมือนเก่า จนต้องรื้อแปลงทิ้งแล้วปูกใหม่นั่นแหละครับ แปลกดีเหมือนกันเน๊อะ...

เอาล่ะ...บทความชักจะยาว เรามาว่ากันถึงเรื่องการปรุงลาบกันเลยดีกว่าครับ ลาบมีอยู่หลายประเภทครับเรียกชื่อตามลักษณะดังนี้

ลาบเหนียว คือลาบที่สับจนเนื้อละเอียด เหนียวเป็นก้อน เมื่อปรุงเสร็จแล้ว จะเป็นแบบแห้งๆ เสิร์ฟมาในจานเป็นก้อนๆ กินแล้วจะนุ่มลิ้นมาก ลาบแบบนี้ต้องใช้ความพิถีพิถันสูงครับ เหมาะสำหรับเลี้ยงแขกต่างบ้านต่างเมือง
ลาบน้ำโตม คือลาบที่สับเนื้อละเอียด แต่ไม่ถึงกับเหนียว เวลาปรุงเสร็จจะมีลักษณะเป็นน้ำขลุกขลิก ชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่จะกินลาบประเภทนี้ครับ
ลาบฟั่ง (ฟั่ง แปลว่า รีบเร่ง) หรือลาบโขมย คือลาบที่สับแบบมะโหลกโขกเขก...(นั่น...จะรู้เรื่องไหมเนี่ยะ) หมายถึงสับเนื้อแบบหยาบๆ ยังเป็นชิ้นอยู่เลยนั่นแหละ ขาดไม่ขาดไม่รู้ล่ะ ฟั่ง (แปลว่ารีบ) ให้เสร็จโวยๆ (เร็วๆ) ไม่ได้เป็นที่นิยมกันหรอกครับ แต่ยังต่างจากส้าด้วย มักจะเป็นฝีมือของพวกเด็กหนุ่มหัดทำกินกันในวงเหล้ากับเพื่อนฝูงครับ (อันนี้ผมเคยมาแล้ว...สมัยเป๋นบ่าวแผ่ว) หรือประมาณว่า ไปแอบโขมยเนื้อชาวบ้านมา จึงต้องรีบๆลาบให้เสร็จ อร่อยไม่อร่อยก็ช่างหัว...ขอได้กินอิ่มไว้ก่อนละบ่ะ...อืม...ลาบโขมยมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ส้า เป็นอาหารประเภทลาบอีกอย่าง แต่ไม่สับเนื้อ ใช้วิธีแล่เป็นชิ้นเล็กๆ บางๆแทน ถ้าได้เนื้อดีๆ เอาเข้าปากเคี้ยวแล้วจะนุ่มลิ้นมาก ได้รสชาดเนื้อวัวแบบเน้นๆครับ


เนื้อสัตว์อย่างวัว ควายและหมู ถ้าในแถบภาคเหนือตอนบน เราเพียงแต่บอกแม่ค้าว่า ซื้อจิ๊นลาบ กี่กิโลก็ว่ากันไป เขาก็จะจัดชุดสำหรับลาบให้ทันทีครับ จิ๊นลาบหนึ่งชุด ก็จะประกอบด้วยเนื้อแดง ผ้าขี้ริ้วแบบต่างๆ เลือดสด น้ำดี ขี้เพี้ย (อันนี้บางที่ก็ไม่มีให้) และเครื่องในอย่างตับและม้าม อันนี้ในกรณีที่เป็นเนื้อวัวเนื้อควายครับ ถ้าเป็นเนื้อหมูก็จะประกอบด้วยเนื้อแดง เครื่องในคือไส้อ่อน ไส้แก่ ตับ ม้าม เลือดสด และหนังหมูครับ
ลาบวัว (หรือลาบควาย)
เครื่องปรุง
จิ๊นลาบ 1 ชุด 1กิโลกรัม
มะแข่วน
พริกดำ(เครื่องเทศที่ทำไว้ข้างต้นไงครับ)
กระเทียม 2 หัว
หอมแดง 5 หัว
ข่า 10 แว่น
ตะไคร้ 2 ต้น
กะปิ 2 ช้อนชา
เกลือป่น
ชูรส

เตรียมตัวลาบ
ชุดจิ๊นวัวลาบ เราเอามาแยกเนื้อครับ ค่อยๆปาดเอาแต่เนื้อแดงๆ เส้นผังผืดสีขาวๆ เลาะทิ้งให้หมดเลยทีเดียว...เสร็จแล้วก็นำมาสับๆๆ...พอละเอียดพอประมาณ ก็เริ่มตักลิ่มเลือดใส่ลงไปทีละน้อย (ใส่เยอะไปมันจะกระเด็นหนีไปหมดน่ะสิครับ) แล้วสับกันต่อไปจนลิ่มเลือดกับเนื้อแดงเข้ากันเป็นเนื้อเดียว เหลือน้ำเลือดเอาไว้ยำด้วยครับ
ถ้าต้องการให้เป็นลาบเหนียว เอามะเขือขื่นสัก 4-5 ลูก เผาไฟให้นิ่ม แกะเมล็ดออก นำมาสับรวมกับเนื้อด้วยครับ จะทำให้เนื้อเหนียวเป็นก้อนจนปั้นได้...
ส่วนเครื่องในอย่างผ้าขี้ริ้ว ดอกจอก นั้น ตั้งน้ำต้มให้เดือดพล่าน จากนั้นเอาผ้าขี้ริ้ว และดอกจอกลงจุ่ม ฉุบๆสองสามที...แล้วเอาขึ้นทันที นำมาแช่น้ำเย็น แล้วเราก็จะลอกเอาผิวสีดำออกทิ้ง เหลือแต่ผ้าขี้ริ้วขาวจั๊วะ เอาแค่ไม่เกินสามฉุบนะครับ ถ้าลวกนานกว่านั้นจะลอกยากนะ...จะบอกให้ เอามาหั่นเป็นชิ้นพอคำเตรียมไว้
ถ้ามีตับกับม้ามมาด้วย จะต้มให้สุกก่อน หรือหั่นทั้งดิบๆเลยก็ตามแต่สะดวกใจครับ ส่วนถ้ามีขี้เพี้ยมาด้วย ก็เอาต้มให้สุกก่อนนะ...ถ้าไม่มีก็แล้วไปเอาล่ะครับ
ทีนี้เราก็จะมาจับสากกัน เอากระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ และกะปิ มาหมกกับขี้เถ้าร้อนก่อน หมกให้นิ่ม กะปิก็ห่อด้วยใบตองก่อนนะคุณแพ่...หรือจะคั่ว จะปิ้งก็ตามแต่ แต่จะไม่หอมเท่าวิธีหมกขี้เถ้าร้อนหรอกนะ ได้ครับแล้วลงไปในครก เข้าลงมือโขลกให้ละเอียดยิบ ละเอียดจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงใส่พริกดำลงไปโขลกรวมกันอีกทีให้เข้ากันครับ
เนื้อลาบแล้วพร้อม คัวในพร้อม พริกลาบพร้อม ก็เริ่มลงมือยำลาบกันได้ครับ อ๊ะ...เกือบลืม มะแข่วนครับ เอาคั่วไฟก่อนให้หอมๆ แล้วโขลกให้เป็นผุยผงเลยเชียว...ตักใส่ถ้วยไว้ต่างหากล่ะครับ


การยำลาบ
ก่อนอื่น ต้องเลือกกันก่อนนะครับว่าจะใช้น้ำอะไรยำ ซึ่งก็ได้แก่ น้ำเลือด(ที่เหลือจากการลาบ) น้ำเพี้ย (ถ้ามี...และต้มสุกแล้ว) และน้ำต้มกะปิ หรือต้มเนื้อก็ได้ครับ เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ใส่ลงในชามผสมประมาณ 1 ทัพพีไม่เต็มดี สำหรับลาบเหนียว หรือมากกว่านั้นตามใจเถอะ สำหรับลาบน้ำโตมครับ แล้วก็ใส่พริกลาบ ใส่เยอะก็เผ็ดเยอะครับปกติเขาจะใส่กันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะกว่าหน่อยๆ ใส่มะแข่วนป่น 1/3 ช้อนชา เกลือป่นตามชอบครับ เติมชูรสลงไปหน่อย แล้วคนๆๆ ชอบขมก็ใส่น้ำดีลงไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ (อืออออ...ขม) ชิมได้รสตามต้องการแล้ว เอาเนื้อสับลงคลุกเลยทันที บดบี้ขยี้ให้หนำใจ ให้เนื้อเข้าเครื่องเข้าพริกดีแล้ว ตักใส่จาน เสิร์ฟได้เลยครับ...ขี้เหล้ารออยู่ อ้อ...อย่าลืมผักกับลาบด้วยนะครับ

เอาล่ะครับ ตอนนี้ เขียนมายาวจนเกินไปแล้วรึเปล่า เดี๋ยวค่อยมาต่อกันในภาคสองดีกว่าครับ ก่อนจบภาคแรก ผมมีวิดีโอมาฝาก เป็นวิดีโอสอนทำอาหารที่ผมทำไว้นานแล้ว อันนี้ประยุกต์มาจากลาบดั้งเดิมครับ "เนื้อผัดพริกลาบ"ครับ




วิดีโอเรื่อง "เนื้อผัดพริกลาบ"

มีความสุขกันมากๆนะครับ
Mr.Ken

ยำผลไม้ เมนูเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

มาแข็งแรงกันเถอะครับ
ลมฟ้าอากาศบ้านเราเดี๋ยวนี้มันแปรปรวนกันใหญ่แล้วครับ ตอนเย็นหนาว ตอนเช้าร้อน มันเป็นไปนี่ คงจะตามกระแสโลกร้อนกระมังเนอะ...ปีนี้ฝนเยอะมากมาย หลายๆพื้นที่ก็อ่วมอรทัยไปตามๆกัน จากพิษน้ำท่วม นี่แว่วข่าวมาว่าในกรุงเทพไม่มีข้าวสารขายแล้วครับ พืชผักก็ขาดแคลน เพราะการขนส่งไม่สามารถเข้าไปถึงได้เลย ในพื้นที่น้ำท่วม แย่กันหน่อยครับปีนี้...เข้มแข็งกันไว้ คนไทยรักกันนะครับ

ตอนนี้น้ำยังปริมคอรอตอผุดกันแบบทุลักทุเล อดนึงไปข้างหน้าว่า ถ้าถึงตอนน้ำลดแล้ว ข้าวปลาอาหารก็ขาดแคลนกันอย่างนี้ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตเสื่อมแย่เลย หลายคนอาจป่วยไข้ เพราะร่างกายอ่อนแอ อาหารการกินก็คงจะต้องอัตคัตกันหน่อยครับ

พูดถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหลังน้ำลดแล้ว คนที่เคยแข็งแรง อาจกลายเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะได้นะ เพราะช่วงน้ำท่วมนั้น อาหารไม่เพียงพอต่อการบริโภค สารอารจากปลากระป๋องในถุงยังชีพคงไม่เพียงพอเป็นแน่แท้เชียวเลยครับ เมื่อร่างการขาดสารอาหารที่จำเป็น ความทนทานต่อโรคภัยก็ลดต่ำลงด้วย ถ้าบังเอิญเจอเข้ากับเชื้อโรคร้ายเข้าล่ะก็ คงจะแย่นะครับ...ผมก็ทำได้แค่เป็นห่วงเป็นใยพี่น้องผองเพื่อนผู้ประสบภัย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ที่ทำได้ก็นี่ครับ แนะนำวิธีสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยอาหารนี่แหละ


ยำผลไม้

เครื่องปรุง
1. แอปเปิ้ล 1 ผล จะแอปเปิ้ลแดง หรือเขียว หรือเหลือง ได้ทั้งนั้นครับ ช่วงนี้หัวใจเดาะ หัวใจเพลีย หัวใจละเหี่ยเหี่ยวห้อย...(ไอ้ที่เหี่ยวห้อยน่ะ มันอะไรกันแน่วะ...) กินแอปเปิ้ลบำรุงหัวใจกันเถอะครับ


2. แก้วมังกร 1 ผล อันนนี้ผมใช้แก้วมังกรขาว อันที่จริงผมชอบมังกรแดงมากกว่านะ แต่มันเป็นผลไม้ประเภทสีตกอ่ะ...เดี๋ยวสีตกใส่ยำ จะทำยังไง...ม่วงทั้งจานเชียวเลยสิครับ เจ้าแก้วมังกรเนี่ย มีธาตุเหล็กที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย...โห...เริ่มจะมาทางเภสัชโภชนาแล้วเรา...


3. องุ่นม่วง 1 พวง องุ่นที่ว่าเนี้ยะ เขาเรียกองุ่นนอกครับ สีม่วงๆนั่นแหละครับ ใส่ลงไป ช่วยบำรุงเลือด เคี้ยวมันทั้งเมล็ดในเลครับถ้าสามารถ...


4. Malberry 1 ถ้วย อะไรวะ...แดะประสาประกิตซะด้วย มันก็คือมะเม่า หรือลูกหม่อนนั่นเองครับ เรียกให้มันดูหราหรูคู่ครัว ยกระดับครับ...เก็บมาจากต้นสดๆ สะอาดและปลอดภัย...จะมะเม่า หมากเม่า เม่าเสี้ยน หรือมัดเซก็ว่ากันไปตามแต่จะเรียกกันในแต่ละถิ่นครับ...แต่ที่แน่ๆ มันเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา และยังช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายในระดับแนวหน้าเลยเชียวด้วยนะ...จะบอกให้


5. มะเขือเทศท้อ 1 ลูก ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเขือเทศท้อหรอกครับ มะเขือเทศราชินี หรือมะเขือเทศทั่วไปก็ได้ แต่ที่ผมเลือกมะเขือเทศชนิดนี้ เพราะลูกมันสวยน่ากินดี...ว่างั้น อันนี้เขาก็ว่าดีกับระบบเลือดระบบลม น่าชมจริงๆ...สำหรับใครที่ไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของมะเขือเทศ ง่ายนิดเดียวครับ ผ่าครึ่งแล้วควักไส้ในออกทิ้งให้หมด เท่านั้น ความเหม็นเขียวก็จะไม่มาเยือนคุณอีกต่อไป...


6. พริกขี้หนู 15 เม็ด เก็บเองจากต้นสดๆที่ข้างรั้วบ้านครับ มันมากับขี้นก ตกปุ๊บงอกปั๊บ ใส่ปุ๋ยขี้ไก่ซะหน่อย ลูกดกยังกะหนอนแน่ะ...กินพริกมากเกินขนาด อาจตายได้เพราะกระเพาะทะลุ แต่ถ้ากินขนาดพอดีพอควร มันคือการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายครับ...เคยได้ยินไหมครับว่า คนที่กินเผ็ด จะมีความทนทานต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าคนที่ไม่กินเผ็ดเลยน่ะครับ


7. หอมแดง 3 หัว คราวนี้ผมใช้หอมแขกอีกแล้วครับ ขี้เกียจปอกเปลือก ไม่อยากเสียน้ำตา...กินอาหารรสหวานมากๆ ต้องใส่หอมแดงลงไปช่วยครับ

8. ต้นหอม 2 ต้น ผักไม้ไส้เครืออะไรมันจะแพงมหาศาลบานตะไทอย่างนี้ครับ ซื้อต้นหอมกำละห้าบาท มีอยู่สามต้นเล็กๆลีบๆ...เฮ้อ...เอฟเฟคของน้ำท่วมละมังนี่ ต้นหอมนี่ช่วยบำรุงไตของเราให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ อย่าขึ้นราคาจนแพงเกินไปเลยนะ...เพื่อสุขภาพที่ดีของพี่น้องประชาชนชาวไทยครับ

9. ผักชี 1 ต้น นี่ก็เหมือนกันนะ แต่ดีหน่อยที่ได้ต้นใหญ่ใบสวยๆมากิน บำรุงกระเพาะอาหาร...แต่กินเยอะไปไม่ดีนะครับ น้ำมันหอมระเหยในผักชีจะทำให้มึนหัวครับ หัวหมุนติ้วเชียวแหละ เอาแต่พองามนะ...


10. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ กินน้ำปลามากไปก็ไม่ดีนะครับ โรคไตจะถามหา แต่ว่านะ...ถ้ากินกับข้าวในมื้อที่เราตกอยู่ในสภาวะชีวิตลำเค็ญแสนเข็ญใจน่ะ...น้ำปลาสาราถทดแทนสารอาหารประเภทโปรตีนได้ตั้ง 7% เชียวนา ทำเป็นเล่นไป แต่ต้องเป็นน้ำปลาที่หมักจากปลาจริงๆนะครับ ไม่ใช่น้ำปลาเทียมที่เอาน้ำผสมเกลือใส่กลิ่นปลานะ...เขาวิจัยกันมาว่าอย่างนั้น ว่าก็ว่าเถอะ 7%นี่ก็หรูแล้วนะ ยามไม่มีจะกินเนี่ยะ...แต่อย่าใส่เยอะ...มันเค็มมมมมมมม


11. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ ทำไมผมถึงเลือกใช้น้ำตาลทรายแดงเป็นประจำน่ะรึ...ก็เพราะว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าน้ำตาลทรายขาวน่ะสิครับ มีแคลเซียมมากว่า 3 เท่า ธาตุเหล็กมากกว่า 2 เท่า และยังเป็นยาบำรุงพลังด้วยนะ ทำให้เลือดเดินสะดวกดี ผมเนี่ยะก็ไม่ใช่นักโภชนาการอะไรที่ไหนหรอกครับ เป็นแค่นักออกแบบกระจอกๆคนนึงเท่านั้นเอง แต่ที่ต้องใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินขนาดนี้ เหตุผลก็คือ...ยิ่งแก่ยิ่งเสื่อมถอยยิ่งต้องบำรุงตัวเองให้แข็งแรงน่ะครับ...สมัยนี้ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาที เป็นเงินเป็นทองไปทั้งนั้น เฮ้อ...ไม่อยากพูดถึงเลย


12. น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ ดูจะเน้นไปที่การกินพื่อเสริมสร้างระบบเลือดนะเมนูนี้เนี่ยะ มะนาวนี่ก็เหมือนกันครับ บำรุงเลือด และยังบำรุงผิวพรรณด้วย เพี้ยง! หน้าแล้งนี้ขออย่าให้มะนาวลูกละแปดบาทอีกเลยเจ้าประคู๊ณณณณ


13. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา กินน้ำตาลมากเกินไป จะทำให้ร่างกายร้อน เพราะน้ำตาลมีฤทธิ์ร้อน ผมจึงต้องใส่เกลือป่นซึ่งมีฤทธิ์เย็นลงไป ช่วยปรับสมดุลให้อุณหภูมิของเลือดลดลงครับ (วิชาการเต็มที่เลยนะเนี่ยะ) และรสเค็มๆของเกลือเนี่ยะนะ จะช่วยผลักช่วยดันให้รสเปรี้ยวของมะนาวแหลมขึ้นมาอีกด้วยครับ ใช้พอจำเป็น จะได้ไม่ต้องปวดหลังปวดเอวเพราะไตพิการนะครับ เขาว่าคนใจร้อนชอบกินหวาน...คนใจเย็นชอบกินเค็ม...คนกินเค็มมักจะขี้เหนียว จริงไหมล่ะนี่


คราวนี้ก็มาว่ากันด้วยเรื่อง การทำอย่างไรให้มันอร่อย กันนะครับ เอาล่ะ ก่อนอื่น ผมขอแนะนำวิดีโอชุดล่าสุด ใหม่เอี่ยมอ่อง แกะกล่องกิ๊วกิ๊ว...(บ้า) ลองชมวิธีการทำ ยำผลไม้ดูกันก่อนนะครับ เสรร็จแล้ว ถ้าไม่เคลียร์ ไม่โปร่งใสยังไง ผมจะอภิปราย เอ้ยยยย...ผมจะอธิบายอีกครั้งเป็นภาษาเขียนในบล็อกนี้แหละครับ




วิดิโอเรื่อง ยำผลไม้รวม



วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปอเอ๋ยปอปู

ของกินยาก.....ที่แสนแพง
ของโปรดในดวงใจ ของใครหลายคนครับ โดยเฉพาะ ปูม้าเผา จิ้มกับน้ำจิ้มสามรส หรือก้ามปูดำผัดผงกะหรี่ ติดอกติดใจในความอร่อยกันยกใหญ่ ไม่หวั่น แม้ว่ามันจะกินยาก กินเย็น สักเท่าไหร่ ความอร่อยมันก็คงอยู่ที่ ต้องแกะ ต้องแทะนี่ล่ะมังครับ แบบว่า มือมีกี่นิ้ว ใช้ให้มันเลอะหมดทุกนิ้วเลย นั่นแหละครับ ถึงจะได้บรรยากาศ และเข้าถึงอารมณ์การกินปู

ปูดำ ส่วนใหญ่ ปูดำจะสดครับ ไม่ว่าจะขนไปขายภาคไหน ทั่วประเทศ เพราะเขาขายกันแบบ ตาปูยังปริบๆอยู่เลย จึงแน่ใจได้ว่า สดจริงๆครับ การเลือกซื้อปูดำ ควรเลือกตัวหนักๆ เนื้อจะแน่น ปูตัวเมีย ฝาปิดหน้าอก ใหญ่กว่าปูตัวผู้ แต่ปูตัวผู้ เนื้อแน่นกว่าตัวเมียครับ

ปูม้า ส่วนปูม้า เป็นปูที่ตายง่ายกว่า จึงต้องพิถีพิถัน ในการสังเกตุ เพื่อเลือกซื้อ ขึ้นอีกหน่อย ควรเลือกตัว ที่มีสีฟ้า หรือสีน้ำตาลสดใส และฝาอกปิดสนิทครับ


นี่ดูจะเป็นสองยี่ห้อปูที่เป็นที่ยอดนิยมกันในหมู่คนไทยอย่างเราๆ และรู้จักกันดีโดยทั่วหน้ากันไป ส่วนปูยี่ห้ออื่นที่แปลกประหลาดไปจากที่เคยเห็น อย่างปูหิน ปูจั๊กจั่น หรือปูยักษ์อลาสก้านั้น เอาไว้มีโอกาส ค่อยมาโม้กันดีกว่านะครับ

มาดูกันดีกว่าว่า เราจะเอาเจ้าปูยี่ห้อยอดนิยมเนี้ยะ มาทำเป็นอะไรกินกันได้บ้าง ก่อนอื่น นี่เลยครับ ฮิตติดอันดับมาแต่โบราณกาล "ปูผัดผงกะหรี่" ผัดกันมาจนผงกะหรี่มีวิวัฒนาการมาอยู่ในขวดแสนสวย (ตะก่อนชอบอยู่ในซองกระดาษนี่นะ) และเราก็จะยังคงผัดผงกะหรี่กันต่อไป ตามนี้เลยครับ
ก้ามปูผัดผงกะหรี่
เครื่องปรุง




  1. ก้ามปูดำ 15 อัน(ก้ามซ้ายหรือก้ามขวาก็แล้วแต่ถนัดนะครับ แต่ที่แน่ๆ เราจะเอาแต่ก้ามครับ และต้องปูดำด้วยนะ ปูม้ายังไม่เกี่ยว)


  2. ไข่ไก่ 2 ฟอง


  3. พริกชี้ฟ้า 3 เม็ด หั่นตามยาว


  4. หอมใหญ่ 1 หัว ปอกเปลือก ซอยเป็นกลีบบางๆ


  5. กระเทียมไทย 10 กลีบ โขลกให้ละเอียด


  6. ต้นหอม 2 ต้น หั่นเป็นชิ้นยาวราว 1 นิ้ว


  7. คึ่นไช่ 3 ต้น หั่นเป็นชิ้น


  8. ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา


  9. ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะ


  10. เกลือป่น 1 ช้อนชา


  11. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ


  12. น้ำตาล 1 ช้อนชา


  13. น้ำมันพืชสำหรับผัด


  14. น้ำเปล่าเล็กน้อยสำหรับผัด
วิธีทำ




  1. ตั้งหม้อบนไฟแรง ใส่น้ำลงไป 1 ใน 3 ของหม้อ เติมเกลือป่น 1 ช้อนชา ปล่อยให้เดือดพล่าน ใส่ก้ามปูลงไป คนก้ามปูไปมา จนเปลี่ยนสีเป็นสีแดง จังปิดไฟ นำก้ามปูมาแช่น้ำเย็น ใช้สากหรือฆ้อนทุบเนื้อ ทุบก้ามส่วนที่เป็นเนื้อให้แตก แกะเปลือกออกให้หมด เหลือแต่เนื้อปู โดยเหลือส่วนปลาย (ที่เป็นคีมน่ะครับ)ไว้


  2. ตั้งกระทะบนไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไป ใส่กระเทียมและหอมใหญ่ลงผัด ให้หอม


  3. ตอกไข่ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวตีให้แตก แล้วผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่า ลงไปเล็กน้อย ใส่ผงกะหรี่ลงคลุกให้เข้ากัน


  4. ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วเห็ดหอม น้ำปลา และน้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน


  5. ใส่พริกชี้ฟ้า ต้นหอม คึ่นไช่ ลงผัด พอผักเริ่มสุก ใส่ก้ามปูลงคลุกเคล้าให้เข้ากันทั่ว แล้วปิดไฟทันที ตักใส่จาน และพร้อมเสิร์ฟครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้...เราพูดถึงน้องปูดำกันไปแล้ว แต่เรามีน้องปูม้ามาร่วมขบวนอยู่ด้วย ถ้าไม่พูดถึงบ้าง เกรงว่าจะน้อยอกน้อยใจกันไปใหญ่ เดี๋ยวจะหนีไปเป็นปูม้าดองที่อื่นซะก่อนที่จะได้ทำอะไรอย่างอื่นนะ เรามาจับน้องปูม้าดองไว้กันก่อนดีกว่าครับ
ปูม้าดองน้ำปลา
เครื่องปรุง




  1. ปูม้า เลือกกันดูครับว่าอยากได้ปริมาณตัวปู หรือเนื้อปู หากต้องการเนื้อปูมากๆ ก็ต้องเลือกเอาปูไซต์ใหญ่ครับ ราคาช่วงนี้ก็ประมาณ 200 บาทต่อกิโลนะครับ


  2. น้ำปลา 1 ขวดใหญ่ หรือกะว่าน้องปูม้าจะจมอยู่ในน้ำปลานั่นแหละครับ น้ำปลาที่เราจะใช้ ต้องเป็นน้ำปลามีเกรดหน่อยครับ เลือเอาที่ไม่เค็มเกินไป ไม่ออกหวานปะแหล่มเกินไป ส่วนตัวผมชอบใช้น้ำปลาตราปลาหมึกครับ (ไม่ได้โฆษณานะ) บางคนบอกว่ายี่ห้อนี้กลิ่นแรงไป งั้นเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้อทิพรส หรือคนแบกกุ้งก็ตามสะดวกกันเถิดหนาเจ้าประคุณครับ


  3. น้ำตาลทรายแดงสัก 3 ช้อนโต๊ะก็พอครับ ทำไมต้องน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาวไม่ได้เหรอ (มีคนแอบกวน...) ได้จ๊ะได้ แต่ว่านะ...กลิ่นและรสหวานมันจะต่างกันนะจ๊ะ น้ำตาลทรายแดงจะมีกลิ่นหอม และหวานนุ่มกว่าน้ำตาลทรายขาวที่หวานแหลมอย่างเดียว ไม่เสียวเลยนะตัว...ว่ามั้ยครับ (เกี่ยวไรกับเสียววะ...)


  4. ผงชูรส 1 ช้อนชา หรือใครรังเกียจเดียจฉันท์ จะเมินหน้าหนี ไม่ใช้เลยก็ได้ครับ แต่ว่านะ...(อีกแล้วนะ) อาหารที่ใส่ผงชูรสกับที่ไม่ใส่ รสชาดมันแตกต่างกันครับ จริงอยู่ที่ว่า ถึงไม่ใส่ชูรส ก็ทำให้อาหารอร่อยได้ ผมไม่เถียงครับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าผงชูรสเนี่ยะ ถ้าใช้ปริมาณที่พอเหมาะพอดี ก็ไม่เสียหายอะไร แถมยังช่วยให้รสชาดต่างๆในอาหารจานนั้น รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ โดยละม่อม ไม่โด่เค็ม ไม่เด่หวาน จริงๆจะทดสอบดูก็ได้ครับ ระหว่างเอาพริกน้ำปลามา 2 ถ้วย ถ้วยหนึ่งใส่ชูรส อีกถ้วยไม่ใส่ ลองชิมดูครับ มันมีความแตกต่างอย่างมากเลยทีเดียวนะ อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณในการรับชม เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีควรมีผู้ปกครองแนะนำ ห้ามดื่มเกินวันละสองขวด ผู้ป่วยควรปรึกษาแม่...เออ...เอาเข้าไป


  5. โซดาตราอะไรก็ได้ สักสองขวด หรือกะว่าน้องปูจะจมน้ำโซดาอีกนั่นแหละครับ เอามาทำไม โซดา?...ใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็รู้น่า...นะ...เดี๋ยวน้าให้ตังค์(อุ๊บส์)
วิธีดองน้องปูม้า




  1. ล้างตัวปูให้สะอาด เอาคราบไครออกให้หมดครับ ตรงไหนลื่นก็ถูซะให้หายลื่นกันไปข้างนึงเลย ล้างทั่วทุกตัวปูทั้งปู๋ทั้งปี๋แล้ว เราก็เอามาผึ่งสะเด็ดน้ำให้แห้ง หรือใจร้อน อยากแห้งใจจะขาดแล้วล่ะตัว... ใช้ผ้าสะอาดครับ เช็ดตัวปูทั้งปู๋ทั้ปี๋ให้แห้ง (เอาอีกและไอ้ปู๋กะปี๋เนี่ยะ) ให้แห้งสนิทนะเลยครับ อย่าให้น้ำอยู่ในตัวปูเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้น น้องปูม้าจะ...มีกลิ่นคาวฉาวโฉ่ครับ แค่เฉพาะกลิ่นปูก็แรงแล้วนะ ยังจะพ่วงกลิ่นคาวมาด้วยเนี่ยะ ไม่ไหวนะครับ...เม้ยฮับบ่อได้จ้าววววว...


  2. เมื่อปอปูทั้งปู๋ทั้งปี๋แห้งดีแล้ว (ชักจะทะลึ่งลามปามและ...) เราก็จะนำน้องปูม้ามาแยกชิ้นส่วนครับ เราจะหงายตัวปูขึ้นดูว่าเอ๊ะ ผู้ชายหรือผู้หญิงกันน๊ะ...ครับ แล้วแงะเอาตะปิ้งใต้ตัวปูออก ถ้าเป็นปูม้าผู้หญิง ตะปิ้งจะบาน ส่วนปูม้าผูชายเขาจะตะปิ้งเรียวกว่า...เอาเหอะครับ เอาออกไปให้หมดซะ ก่อนจะติดเรตมากไปกว่านี้นะ


  3. แล้วเราก็จะมาสวมวิญญาณโหด สับสยองสองสามท่อนครับ สับมีดลงบนร่องตะปิ้ง (ที่เราหงายไว้) พอให้ขาดจากกัน เด็ดก้ามออกมา ใช้ฆ้อนทุบเนื้อหรือสาก กระเทาะเบาๆ แค่พอแตกครับ จากนั้นเราก็เอาชิ้นส่วนต่างๆของน้องปู ใส่ลงในภาชนะที่อาจะเป็นขวดโหล หรือชามใบโตๆหน่อยก็ได้ครับ


  4. ทีนี้ก็มาถึงคำถาม เอาโซดามาทำไม? เทใส่ลงไปเลยครับ ในชามใส่ชิ้นส่วนปูนั่นแหละ ให้ท่วมเลยครับ ถ้าน้องปูไม่ยอมจมน้ำ ก็หาอะไรทับไว้ไม่ให้โผล่เหนือน้ำได้... น้ำโซดาจะช่วยขจัดกลิ่นเฉพาะตัวของปูออกไปได้ครับ กลิ่นอะไรหว่า...กลิ่นเฉพาะตัวปูเนี่ยะ...เคยสังเกตุไหมครับที่เวลาเราแกะปูกินกันอย่างเมามัน โดยเฉพาะปูเผาสดๆเนี่ยะ มันช่างหวานหอม ชื่นใจอะไรจะปานเนอะ แต่เมื่ออิ่มหนำกันแล้ว ลองยกมือสิบนิ้วที่ใช้กระซวกน้องปูขึ้นดมดูนะครับ นั่นแหละ กลิ่นเฉพาะตัวของปู ยิ่งปล่อยไว้นาน กลิ่นยิ่งแรง และติดทนนานครับ


  5. แช่โซดาทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาทีก็พอครับ แล้วเราก็เอาชิ้นส่วนน้องปูขึ้นจากน้ำโซดา ผึ่งให้หมาดๆสักครู่ ส่วนน้ำโซดา จงเททิ้งไปเถิด ไม่ต้องเก็บไปชงดริ๊งละกรึ๊บต่อเลยนะจ๊ะ มันเหม็นปูไปแล้วล่ะ เทน้ำโซดาทิ้งแล้ว เก็บชิ้นส่วนปูใส่คืนลงไปในชามเดินนี่แหละ ล้างๆเข้าหน่อยก็แหล่มและ...


  6. ทีนี้เราก็มาผสมน้ำดองกันครับ เทน้ำปลาใส่ชาม(อีกใบนะ) ทั้งขวดเลยครับ เติมน้ำตาล และชูรสลงไป คนให้ละลายจนหมดเลยครับ เสร็จแล้วค่อยเอามาราดลงในชามใส่ปู คนให้ทั่วเนื้อปู แล้วส่งไปยังยอดเขาหิมาลัยในธิเบตเลยครับ...งง...ผมเองก็ยังงงกับมุขของตัวเองเลย...หมายถึงเอาใส่ช่องแช่แข็งของตู้เย็นน่ะครับ...จินตนาการไปว่า ข้างในช่องฟรีซนั้น กับยอดเขาหิมาลัยจะหนาวเย็นจนแข็งพอกันรึเปล่าไปทำไมเนี่ยะ...


  7. ยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ผ่านไป เส้นไวไวก็เหมือนเส้นมาม่า...น้องปูม้าก็พร้อมที่จะแปลงร่างไปเป็นอย่างอื่นแล้วครับ
ก็ในเมื่อน้องปูดำเขาเอาผงกะหรี่ไปผัดเสียแล้ว น้องปูม้าก็อุตส่าห์ชุบตัว(ด้วยน้ำปลา)มาแล้วด้วยนะเนี่ยะ จะเป็นอะไรดีล่ะครับ เผาจิ้มน้ำจิ้มก็ดูจะพื้นๆ ลูกทุ่งๆไปหน่อย จะเป็นส้มตำก็กลัวคนเขาจะเบื่อ งั้นเอาเป็นยำก็แล้วกันนะครับ ตามกันมา...
ยำปูม้า
เครื่องปรุง




  1. น้องปูม้าที่พร้อมรบ (ก็ที่เราดองไว้นั่นแล...) จำนวนตามสะดวกครับ


  2. พริกขี้หนูสวน ของแท้ต้องเม็ดเล็กๆ เผ็ดแซบครับ กลัวเผ็ดก็ใช้วิธีซอย แต่ถ้าซาดิสม์ก็โขลกให้ละเอียดเลยครับ เผ็ดกันให้หนำใจไปเลย


  3. น้ำปลาที่ใช้ดองปู 3 ช้อนโต๊ะ อย่าใส่เยอะเลยครับ...มันเค็ม (เชื่อเถอะค่ะพี่ขา...หนูแช่มาทั้งคืนแล้ว เค็มคร่อดๆเรยคร่ะ...(เสียงน้องปูม้าผู้หญิงร้องบอกมา))


  4. น้ำตาลทรายแดง(อีกแล้ว) 2 ช้อนโต๊ะ ไม่ชอบหวานก็ลดได้ครับ


  5. น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ดับกลิ่นน้ำปลาและชูรสเปรี้ยวซะหน่อย


  6. มะนาว 1 ซีก หรือใครชอบเปรี้ยว ก็ใส่ทั้งลูกก็ยังได้


  7. กระเทียม 3 กลีบ ใช้กระเทียมจีนกลีบใหญ่ครับ ใส่ทำไม ชาวบ้านชาวช่องเขาทำกันที่ไหน แต่เชื่อผมเต๊อะ...ถึงปูมันจะถูกดองน้ำปลามาแล้ว แต่มันก็ยังดิบอยู่ดี กระเทียมนี่แหละที่จะช่วยย่อยอาหารได้ดีนัก...ปอกเปลือกเลยครับ แล้วซอยบางๆเข้าไว้ ซอยหนาไป เผ็ดแปลบแสบกระพุ้งแก้ม ไม่รู้ด้วยนะครับ...


  8. หอมแดง 5 หัว ใช้หอมแดงแขกสะดวกดีครับ เพราะหัวใหญ่กว่าหอมแดงไทย ปอกง่าย ไม่เสียน้ำตามากมายอะไรนัก


  9. ตะไคร้ 1 ต้น บรรจงซอยเป็นแว่นบางๆ ละเอียดๆ เพื่อที่จะได้เคี้ยวกินได้ง่ายครับ


  10. ขมิ้นชันสดสักขนาดนิ้วหัวแม่มือ อันที่จริงไม่มีชาวบ้านเขาใส่กันหรอกครับ แต่ผมมักจะท้องอืดเวลากินของดิบของดอง ใครเป็นอย่างผมนะ แนะนำให้ลองครับ ปอกเปลือกออกให้หมด ล้างให้สะอาดแล้วบรรจงซอยอีกครั้ง ให้บางอย่างใจ


  11. มะม่วงเปรี้ยวๆสัก 1 ลูก ปอกเปลือกแล้วสับเป็นเส้นๆ ถ้าไม่มีก็ใช้ลูกตะลิงปิงสดๆสัก 10 ลูก ฝานบางๆแทนก็ได้ ยังไม่มีตะลิงปิงอีก ใส่มะยมโขลก มะดันฝาน มะเฟืองเปรี้ยว สรุปคือ ผลไม้ไทยแลนด์ชนิดไหนก็ได้ ที่มีรสเปรี้ยวจนพากันตาเขนั่นแหละครับ เป็นใช้ได้...แต่สุดยอดของสุดยอดก็คือ...ถ้าเราหาผลไม้ที่ว่ามานี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องใส่มัน...เนอะ...เห็นไหมว่ามัน...สวดยวดดดดดดดดด...เลยเนอะ


  12. สะระแหน่แต่งกลิ่นสัก 1 หยิบมือนะครับ


  13. อีกนิดน่า ไหนๆก็จะเว่อร์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบสักกำมือครับ เพื่มความมันส์...หรือถั่วลิสงทอดก็ยังดีนะ


  14. ต้นหอมสักสองต้น กับผักชีไว้โรยหน้าโรยตาอีกต้น หั่นหยาบๆก็พอครับ น้ำมันหอมในต้นหอมและผักชี ช่วยระบายลม กันท้องอืดด้วยนะครับ
เอาล่ะ...เครื่องปรุงชักจะเว่อร์ ประเดี๋ยวคงมีคาร์เวียโรยหน้าอีกด้วยหรอก มาต่อกันด้วยวิธีทำดีกว่าครับ ก็ไม่ยากเย็นอะไร เราก็เอาเครื่องปรุงที่เป็นน้ำๆ ใส่ลงในชามผสมก่อน ก็คือน้ำปลาที่ใช้ดองปู น้ำมะนาว และน้ำส้มสายชู คนให้เข้ากันแล้วค่อยใส่น้ำตาลทราย พริกขี้หนู และผลไม้รสเปรี้ยวที่หาได้ หรือไม่...ก็สวดดดยวดดด (ชิมรสตอนนี้เลยครับ ปรับปรุงให้ถูกปากถูกใจ และถูกกระเพาะของคุณๆเองเถิด เพราะเนี่ยะ...เป็นการปรุงแบบที่ผมชอบ แต่คุณอาจจะไม่ชอบรสนี้ก็เพิ่มหรือลดได้ตามสะดวกครับ แต่ถ้าใครชอบรสชาดแบบเดียวกันกับผมล่ะก็...กอบบบกุนนนนก๊าบบบ)

ได้รสได้ที่แล้ว ก็ใส่ปูลงคลุกเลยครับ คลุกให้ทั่ว (คลุกให้เปรี้ยวเลยคร่ะ...เพราะหนูเค็มมาทั้งคืนแล้วคร่ะ...คุณพี่ขรา...) แล้วค่อยใส่กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ ขมิ้นชัน ต้นหอมผักชีลงไปคลุกรวมกันอีกที บรรจงตักน้องปูผู้แสนสวยใส่ลงจาน โรยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ และสะระแหน่ให้เป็นการตบตูดแบบสวยงาม

ครับ...เสร็จและครับ...ยำปูม้าพร้อมเสิร์ฟครับ...
Mr.Ken

ว่าด้วยเรื่องของ "กุ้งมังกร"

กุ้งมังกร
กุ้งมังกรเป็นกุ้งขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดากุ้งทะเลทั้งหลายครับ และเป็นกุ้งชนิดที่หายากมากๆ ในทะเลธรรมชาติปัจจุบัน ราคาของมันจึงสูงลิบลิ่ว ชนิดที่ว่า ชาวบ้านอย่างเราๆ ต้องตาเหลือกตาค้าง เป็นลมเป็นแล้ง กันเลยทีเดียวครับ แม้ว่า ชาวบ้านในจังหวัดภูเก็ต จะมีการเพาะเลี้ยงในกระชังกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่พอเพียงต่อความต้องการของตลาดอยู่ดี โดยเฉพาะพวกโรงแรมใหญ่ๆ ไฮโซครับ สั่งซื้อสั่งจองกันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว เพื่อที่จะนำเอากุ้งยักษ์เหล่านี้ ไปแลงโฉมเป็นอาหารสุดหรู ขายเหล่าฝรั่งนักท่องเที่ยว ในราคาที่คนไทยส่วนใหญ่ ต้องกระอักเลือดตายกันไปข้างนึงไปเลยครับ

การจับกุ้งมังกรในธรรมชาติ ชาวประมงจะออกเรือพร้อมอุปกรณ์พิเศษ เป็นปืนแห ที่ถูกออกแบบมาด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้จับเจ้ากุ้งมังกรโดยเฉพาะ แต่ด้วยความที่มันเป็นกุ้งที่หายาก ในแต่ละวันจะจับได้ไม่กี่ตัวเท่านั้น บางวันไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมราคามันถึงได้สูงลิ่ว จนพากันตาค้างอย่างนั้นไงเล่า

ราคาของกุ้งมังกร ถ้าซื้อจากชาวประมง โดยตรง ก็จะตก อยู่ที่ตัวละประมาณ 500-1000 บาท แล้วแต่ขนาดตัว ส่วน ราคาขายตามร้านชายทะเล ก็สูงขึ้นมาหน่อย ประมาณ ตัว ละ 700-1200 บาท และหากมันเข้าอยู่ในตลาด ราคาก็จะไม่ ต่ำกว่า 1,000 ขึ้นไปครับ ไม่ต้องพูดถึง พวกที่แปลงร่าง เป็น อาหารหรู ในโรงแรมห้าดาวกันเลย คงเดาได้ไม่ยากนะครับ ว่ามันต้องมากกว่า 2,000 บาทขึ้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย เลย ครับ

สำหรับกุ้งมังกรเลี้ยงนั้น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก พันธุ์กุ้งก็ยังต้องซื้อจากชาวประมง ซึ่งหาจับลูกกุ้งจากธรรมชาติ ราคาไม่ต่ำกว่าตัวละ 80 บาท (ราคาลูกกุ้งนะครับ) และยังต้องมีค่าอาหาร ค่ายาป้องกันโรคกุ้ง และอีกมากมาย ราคาจึงสูงลิบลิ่ว ขนาดราคาหน้ากระชังนะครับ กุ้งมังกร 7 สี ราคากิโลกรัมละ 1,800 บาทขึ้นอยู่กับขนาด และกุ้งมังกรสีน้ำตาล กิโลกรัมละ 1,200-1,300 บาท หายามาดมกันได้แล้วครับ และคงจะทราบกันแล้วนะครับว่า หากต้องการลิ้มลองรสชาด กุ้งไฮโซชนิดนี้ จะต้องไปหาซื้อได้จากที่ไหน โดยที่จะไม่เป็นลมตายกันไปซะก่อน



ลองมาดูกันสักเมนูสิครับ ว่าอาหารที่ปรุงจากกุ้งมังกรเนี่ยะ จะเป็นอย่างไรจะเป็นอย่างไร

กุ้งมังกรผัดพริกไทยดำ
เครื่องปรุง


  1. กุ้งมังกรไซต์เล็ก(ก็พอมั้ง) 1 ตัว

  2. พริกชี้ฟ้าแดง 1 เม็ด หั่นแฉลบ

  3. พริกไทยดำเม็ดคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ

  4. กระเทียมไทย 10 กลีบ

  5. หอมใหญ่ 1 หัวต้นหอม 3 ต้น

  6. สปายเรด 3 ช้อนโต๊ะ

  7. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

  8. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ

  9. ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ

  10. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชาครึ่ง

  11. น้ำเปล่าเล็กน้อย

  12. น้ำมันพืชนิดหน่อยสำหรับผัด
วิธีทำขั้นเตรียม


  1. เอากุ้งมังกรมาแกะเปลือก โดยใช้มีดผ่ากลางหลังตามยาว ตั้งแต่หัวถึงหาง ค่อยๆแงะเอาเนื้อออกมา จากนั้น หั่นเนื้อกุ้ง เป็นชิ้นพอคำ ใส่ภาชนะ เตรียมไว้

  2. เอาเนื้อกุ้งมาหมักกับสปายเรด เกลือป่น น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา ปล่อยไว้ 10-15 นาที

  3. ผสมน้ำปรุง คือน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา และน้ำเปล่าเล็กน้อย คนให้เข้ากันดี เตรียมไว้

  4. ทุบกระเทียมพอแตก หั่นหอมใหญ่เป็นซีก หั่นต้นหอมเป็นท่อนๆ เตรียมไว้

  5. โขลกพริกไทยดำให้แหลก เตรียมไว้
วิธีทำขั้นปรุง


  1. ตั้งกระทะบนไฟแรง ใส่น้ำมันพืชลงไป ใส่กระเทียมลงเจียวให้หอม แล้วจึงเอาเนื้อกุ้งลงผัด

  2. พอเนื้อกุ้งใกล้สุก เทน้ำปรุงลงไป ใส่พริกไทยดำ พริกชี้ฟ้าแดง และหอมใหญ่ลงผัดเร็วๆ จนเนื้อกุ้งสุก

  3. ใส่ต้นหอมลงไป แล้วปิดไฟทันที ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน เสิร์ฟได้แล้วครับ

    ***ใช้เวลาผัดให้น้อยที่สุดครับ ไม่อย่างนั้น เนื้อกุ้งจะเหนียว ไม่อร่อยครับ
ลองหาโอกาสทำเมนูนี้กันดูสักครั้งในชีวิตนะครับ ได้ผมอย่างไรก็แวะมาบอกกันบ้างเน้อครับ

Mr.Ken

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Fruits for good health Part:1

Part 1: Fruits and additives into your dinner. Apple ...Some of the fruits. The high nutritional value. For those who want to lose weight, help control blood sugar, causing appetite loss, and helps the digestive system work more efficiently, nourishes the heart, lower cholesterol, reduce blood pressure, stimulating work. of antioxidants, aging and kill the virus.

.....Eating an apple to get the most. It is to eat the peel. But there are many concerns about toxic residues on apple peel. The wax material that is coated with a slow spoilage, so when you eat an apple and rind.

We will bring Apple back into the container. About 2 tablespoons salt and enough water to flood the apple, leaving it 15-20 minutes before pouring water. Then Apple came out with clear water again, it's wax. Using a clean cloth towel to dry. I was eating an apple and peel it safely.


Apples, shrimp


Garnish.


  1. 1 of red apple

  2. 1 of Tomatoe

  3. 10 Shrimp

  4. 3 garlic cloves

  5. White sesame seeds 1 tsp

  6. Costa was a vegetable

  7. A little mint

  8. Butter 1 tsp
Condiments and sauces


  1. Cayenne pepper 1 / 3 tbsp

  2. Lemon juice 2 tbsp

  3. Sesame oil 2 tsp

  4. Salt 1 / 2 tsp.
How to do it


  1. Clean the shrimp. The shrimp are finely chopped.

  2. Put the butter into the pan on low heat to melt it into stir-fried with garlic smashed. Then I cooked the shrimp fry from the heat.

  3. Mixed with cayenne pepper, lemon juice, sesame oil, and salt together.

  4. Mixed with shrimp and stir to combine well.

  5. Sliced ​​apples and tomatoes for a taste.

  6. Place the vegetables, the sort of shaped eyes. Spoon the sauce ingredients into a sprinkle of white sesame seeds and serve immediately.
Have a nice cooking
Mr.Ken

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

The Jack Blood's

Drink of Halloween


Return of the ghost night is coming up soon. are ghosts and demons that came out to walk the streets again. It's time to prepare your self. For decorating your residence to the festival. For me, I do not think I would want to be a ghost or the devil, so I thought I was a wizard would be better, although I do not have a magic spell. But I have a drink. I think this is ideal for Halloween.


"Jack Blood's"


It's look horrible, but in fact. It is a drink that is sweet and mellow, you can drink either hot or cold. Because it is.Pumpkin juice concentrate. Let us beverage celebration the Halloween season Thread.


Garnish

1 kg pumpkin

1 kg of brown sugar

200 grams of powdered creamer

Salt 1 / 2 tsp

2 liters of water.

2 bottles of soda water


How to do it

First, the head of the jack (Pumpkin) came through the other side. Then scrape the pulp and seeds out. Then peeled off, to wash, cut into small pieces, put into a pot for boiling.Add water to it. Then lift up on the stove to medium heat, do not forget to add salt to it.

Second, prepare the syrup, pour sugar into a wide mouth jars. Then add water to baking soda, stir to dissolve sugar. Without using heat.

Third, about 15 minutes, the head of the jack is fully cooked, we will move on and put it down. Wait until the water is cold.

Fourth, lap the pumpkin boiled. Put into bowl. and add water to the nearly full. Then close the lid and blend thoroughly, for water from the boiled pumpkin, we put a lot of secondary container.

Five, Pour pumpkin, spinning into the water, filter it, and stir to combine well.

Six-step preparation of cream, put the creamer powder into the container. Add hot water to melt, (a little hot water), then pour the melt cream into the pumpkin juice, and stir to combine well.



If you want a cold drink. Take dip cup sugar according to taste, pumpkin juice, And drink immediately or be refrigerated. Or to warm it to hot by a microwave, if you prefer hot drink.


Happy Halloween

Mr. Ken

Pan pork

Paa Neang Moo




Another delicious Thai food. With a mixture of spices "Panang" curry that can be worn as a meat such as pork, chicken or beef, if you choose."Panang pork" is often served with jasmine rice. To eat fast food very popular in Thailand. Or you can try this on your own cooking. By the way, I will tell you the following.

Garnish


  • Half a kilo of pork


  • Coconut milk in a carton box


  • Red chili, seeds removed, Soi 2 tablets carved into strips


  • 3-4 kaffir lime leaves, sliced ​​into strips


  • Fish sauce


  • Granulated sugar
Curry Paste Garnish


  • Dried chili 5 pieces.


  • Dried chili pepper seed 10 seed


  • 5 shallots


  • 10 cloves Thai garlic


  • 1 tbsp Galangal, cut into small pieces


  • 1 early Lemongrass alley


  • Lime peel 1 / 2 tsp


  • 3 coriander root, alley


  • Shrimp paste 1 tsp


  • Salt 1 tsp.
* Mix all of ingredients of the curry paste is thoroughly blended

How to do it


  1. Pound Pound spices from bergamot peel, lemon grass, galangal, coriander root and salt to a fine. Followed by the garlic. And dried, respectively. When the profile already. I put the shallots into the pound. Then put a paste it into the final. Rub them together well and set aside.

  2. Wash pork thoroughly. Cut into bite-size pieces.

  3. Pour the coconut milk into a pan set over medium heat, simmer to boil. And split it evenly. It took chili paste and stir. Followed by pork. And red chili.

  4. Stir fry until pork is cooked properly. Season with fish sauce. Taste and sugar to taste.

  5. Stir until the coconut is dry, sprinkle a little, shredded kaffir lime leaves. Serving plate and serve it.
Enjoy Cooking
Mr.Ken